หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
ฉันและสามี เดินทางมาที่นี่แม้จะไม่บ่อยครั้งนักด้วยหนทางที่แสนจะทุรกันดาร แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นภาพของผู้คนที่เบียดเสียดยัดเยียดใช้ชีวิตเพื่อรอบางสิ่งและหลายหลายชีวิตอยู่อย่างไร้จุดหมาย ยังคงตรึงตาติดใจให้ไม่อาจลืมเลือน จึงหาโอกาสเดินทางมาพบปะผู้คนที่นี่อยู่เสมอ
ครั้งนี้เรามาเยี่ยมญาติ ก่อนหน้านั้นญาติของเราหลายครอบครัวได้อาศัยในหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวบ้านใหม่ในสอย พวกเขาตัดสินใจทิ้งหมู่บ้านข้างนอก ยอมรับสถานภาพของผู้ลี้ภัยทางการสู้รบด้วยความเต็มใจ เพื่อเลือกสู่เส้นทางแห่งเสรีภาพที่ประเทศที่สามพร้อมจะหยิบยื่นให้
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะมีสิทธิ์เลือก เมื่อครั้งหนึ่งหลายครอบครัวได้ตัดสินใจผิดพลาด โดยการเลือกย้ายครอบครัวไปอยู่ "หมู่บ้านอนุรักษ์วิถีชีวิตชนเผ่ากระเหรี่ยง (ประด่อง) เพื่อความมั่นคงจังหวัดแม่ฮ่องสอน" ตามคำชักชวนของทางราชการ แต่แล้วก็พบว่าหลายสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้
มะแทะวัย 58 ปี บัดนี้ร่างกายซูบผอมทรุดโทรม ผมยาวที่เคยม้วนเก็บอย่างเรียบร้อยปล่อยสยายรุ่มร่ามไร้ความสนใจ ด้วยเธอได้ถอดห่วงสีทองที่เคยใส่มาค่อนชีวิต จึงดูเหมือนว่าลำคอนั้นยืดยาวเรียวเล็กและเปาะบางอย่างน่ากลัว แม่เฒ่ารินน้ำให้เราสองคนด้วยมือที่ดูสั่นเทาเล็กน้อย
เรานั่งกันอยู่หน้าบ้านที่เล็กและแคบ มองลงไปสุดขั้นบันไดเห็นแม่หมูตัวใหญ่ใกล้คลอด นอนร้องครวญคราง กลิ่นและควันจากเพื่อนบ้านที่ห่างออกไปไม่กี่วา ตลบอบอวลทั่วทั้งบริเวณ
"แม่สบายดีไหม" ฉันเอ่ยถามด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวแต่แกล้งฝืนน้ำเสียงให้สดใส พลางใสหมากและพูที่ซื้อมาฝากไปทางแม่เฒ่า
"สบายดี ไม่ป่วยไม่ไข้อะไร" เธอพูดพลางแกะห่อหมากพูตรงหน้า เหม่อมองออกไปทางผู้คนที่พลุกพล่านบนถนนหน้าบ้าน
"ดูแม่ผอมไปนะ ถอดคอแล้วไปไหนมาไหนสะดวกหรือเปล่า เห็นว่าแม่และลูกๆ สมัครไปประเทศที่สามด้วย"
แม่เฒ่าถอดถอนใจ ก่อนจีบหมากพลูใส่ปาก เมื่อฉันพูดถึงประเทศที่สาม ความหวังเดียวที่ครอบครัวคิดว่าจะได้ลืมตาอ้าปาก ตามคำบอกเล่าของคนอื่นๆ ที่เล่าต่อๆ กันมาว่า ญาติของตนที่ได้ไปประเทศที่สามส่งข่าวมาถึงว่าอยู่สุขสบายกว่าเดิมมากมาย ทำให้ผู้คนที่เคยอยู่อย่างไร้จุดหมายเริ่มมีความหวังริบรี่กว่าหิ้งห้อยในคืนเดือนหงาย
"แม่ก็รออยู่อย่างเดียว ไม่คิดอะไรแล้ว อยากไปประเทศที่สาม ลูกๆ จะได้สบายกันเสียที" แม่เฒ่าที่มีลูกสาวและลูกชายรวมกันเจ็ดคน ยังเหลืออีกสี่คนที่ยังไม่พ้นอก ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันถึงอนาคตบนดินแดนแห่งใหม่ เป็นแรงกระตุ้นให้แม่เฒ่าคล้อยตามอย่างง่ายดาย
ฉันเองไม่แน่ใจสักนิดว่า ดวงเทียนที่ริบหรี่เช่นแม่เฒ่าจะส่องแสงได้นานถึงเวลาแห่งตะวันอบอุ่นจะฉายลงมาทันหรือไม่ ความหวังที่เรืองรอง เส้นทางกลับมืดบอดตรงกันข้าม ไม่มีใครรู้ได้ว่า ครอบครัวใดที่มือของพระเจ้าจะยื่นเข้ามาช่วยให้สมความปรารถนา
โครงการส่งผู้ลี้ภัยทางการเมืองและผู้อพยพ ไปประเทศที่สามนั้น ฉันเองก็ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าเขามีวิธีการในการคัดเลือกส่งคนไปอย่างไร รู้เพียงแต่ว่า UNDP ได้เริ่มโครงการดังกล่าวกับศูนย์ผู้พักพิงฯ และศูนย์อพยพต่างๆ ในประเทศไทยที่มีจำนวนกว่าสิบแห่ง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2548
ในจำนวนผู้คนราวสองแสนคน มีผู้ที่ได้เดินทางไปแล้วกว่าสองหมื่นคน หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ในแต่ละปีจะมีผู้ถูกเลือกไม่ถึงสามเปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ลี้ภัยฯและผู้อพยพทั้งหมดของประเทศเท่านั้น
แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ลี้ภัยฯ ว่าจะอยากสมัครขอไปประเทศที่สามหรือไม่ เพราะหลายครอบครัวมีความเข้าใจในโลกใหม่ที่ว่านั้นไม่เท่ากัน
ฉันเคยได้ยินโจ๊ักที่เล่าต่อๆ กันมาเรื่องประเทศที่สามว่า มีคนถามพ่อเฒ่าคนหนึ่งว่าอยากไปประเทศที่สามหรือไม่ พ่อเฒ่าคนนั้นถามกลับมาว่า ประเทศที่สามมีหน่อไม้หรือเปล่า ถ้าไม่มีหน่อไม้พ่อเฒ่าก็จะไม่ไป
ประเทศที่สามเช่น อเมริกา, ฮอลแลนด์ ซึ่งยอมรับภาระดูแลกลุ่มคนดังกล่าว จะจัดสวัสดิการเช่นที่อยู่อาศัยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มยารักษาโรค และปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสข้าวของเหล่านั้นมาทั้งชีวิต ไม่นับถึงการได้มีเสรีภาพ ได้รับสัญชาติ และโอกาสการเดินทาง การทำงาน จนถึงการศึกษาเป็นแรงจูงใจทำให้หลายคน โดยเฉพาะหนุ่มสาวใฝ่ฝันถึงการเดินทางไปประเทศที่สาม จนไม่ได้ทบทวนถึงผลกระทบอื่นที่เป็นด้านลบ
ในขณะที่คนวัยใกล้ฝั่งอย่างแม่เฒ่ากระยัน ที่มีสังคมวัฒนธรรมที่เชื่อมร้อยหล่อเลี้ยงวิถีชีวิต อาจจะต้องใช้ทั้งชีวิตที่เหลือในการปรับตัว
หากแม่เฒ่า-พ่อเฒ่าเหล่านั้น ได้เป็นผู้รับเลือกแล้ว จะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีที่จะนานพอให้เธอและเขา ชาชินกับสภาพอากาศ อาหารการกิน สังคมรอบตัว และระบบวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเดิมราวหน้ามือกับหลังมือ
หรือชีวิตที่สดใสของลูกหลาน จำต้องแลกมากับชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขา.