แม้หนทางที่มุ่งสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนจากจังหวัดเชียงใหม่ จะคดโค้งลาดชันน่าหวาดเสียวจนขึ้นชื่อว่า หากใครเดินทางมาถึงแม่ฮ่องสอนจะเป็นดั่งผู้พิชิตจำนวนโค้งมากที่สุดถึง 1,864 โค้งเลยทีเดียว
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไม่พลาดก็คือ การเข้าชมหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวห้วยเสือเฒ่าที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพียงเจ็ดกิโลเมตร
นับเป็นความน่าอัศจรรย์ใจในขนบธรรมเนียมที่แตกต่างจากชนเผ่าอื่นจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะชนเผ่า สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับคนในชุมชนและจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างมากมาย
หญิงกระยันที่ถูกเรียกขานว่า "กระเหรี่ยงคอยาว" ด้วยเพราะการสวมห่วงทองเหลืองไว้ที่ลำคอจนดูเหมือนว่าลำคอนั้นยืดยาวกว่าคนปกติ โดยที่พวกเธอจะเริ่มสวมห่วงแรกๆตั้งแต่อายุประมาณห้าขวบโดยชั่งนำหนักขดทองเหลืองให้ได้ประมาณครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัมแล้วนำมาขดไว้รอบๆคอ
โดยปกติจะเพิ่มน้ำหนักทองเหลืองทุกๆ ห้าปี เพื่อให้ได้รอบวงมากขึ้นและอาจจะเปลี่ยนขนาดเส้นทองเหลืองให้ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย
แม่เฒ่าวัย 50-60 ปี จะใช้เส้นทองเหลืองขนาดใหญ่สุดและมีน้ำหนักมากถึงห้ากิโลกรัม บางคนจะแบ่งเป็นสองขด ขดข้างล่างจะรอบวงกว้างกว่าจะมีห่วงเล็กๆคล้องแยกออกจากขดบน
การสวมห่วงทองเหลืองไว้ที่คอมีความหมายที่แท้จริงอย่างไรไม่สามารถหาคำตอบได้แน่ชัดเพราะไม่ทราบถึงประวัติที่แท้จริงของจุดเริ่มต้นของการสวมห่วงในลักษณะดังกล่าว
หากแต่ปัจจุบันเมื่อถามแม่เฒ่าที่อายุมากที่สุดก็จะได้คำตอบเดียวกันคือเพื่อความสวยงามโดยอ้างอิงจากตำนานว่าสมัยก่อนเมื่อนานมาแล้วมีการประกวดความงามกันระหว่างชนเผ่ากระยันสี่เผ่าคือกระยันละหุ่วย, กระยันละทะ,กระยันกะง่างและกระยันกะเคาะ
กระยันละห่วยได้นำเส้นโลหะมาคล้องขดไว้ที่คอ ทำให้ชนะการประกวด จึงเป็นความเชื่อขอองชาวกระยันละห่วยตั้งแต่นั้นมาว่าเมื่อใส่ห่วงสีทองไว้ที่คอจะเพิ่มความสวยงามในการแต่งกาย
แม้ว่าก่อนนั้นห่วงโลหะดังกล่าวจะทำมาจากทองจริงๆ ปัจจุบันเห็นเพียงห่วงทองเหลืองที่เปรียบเสมือนเครื่องประดับชนิดหนึ่งของร่างกาย ซึ่งการแต่งกายที่ครบชุดของหญิงกระยันจะต้องประกอบไปด้วยสามส่วนใหญ่ๆคือส่วนหัว ส่วนตัว และส่วนขา
ส่วนหัวก็จะเริ่มตั้งแต่การมวยผมเรียกว่ากระลู ผ้ามัดชิ้นบนเรียกว่ากระเก้า ผ้ามัดชิ้นที่ปล่อยชายเรียกว่ากระแขะ กระแขะนี้อาจใช้มากกว่าสามชิ้นก็ได้
ส่วนสีสันก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัว ถัดลงมาที่คอห่วงทองเหลืองเรียกว่าซือกะโบ และซือบอทึ มีผ้ารองที่คางเรียกว่า กระบอซือ
ส่วนหัวประกอบไปด้วยเสื้อเรียกว่าฮ้วงเจ ผ้านุ่งเรียกว่าหงึ มีกำไลที่แขนข้างละหกวงเรียกว่าล้วงโบ้
ส่วนขามีเส้นทองเหลืองขดไว้ที่เข่าเรียกว่าแบะละโบ๊และกำไลข้อเท้าเรียกว่าห่างกุย
การแต่งกายที่ดั้งเดิมนี้เองที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมหมู่บ้านอยู่ไม่ขาดสาย แม่เฒ่ากระยันส่วนใหญ่ยังคงรักษาวัฒนธรรมการแต่งกายดั้งเดิมนี้ไว้อย่างเคร่งครัดยังคงทอเสื้อกระสอบและผ้าถุงสวมใส่อยู่เช่นเดิม
เมื่อถามถึงการแต่งกายของชาวกระยัน เราจะได้รับคำตอบที่แสนจะภาคภูมิใจ
"ใครเห็นก็จะบอกว่าสวย เพราะถ้าสวมห่วงที่คอ ก็ต้องสวมห่วงที่ขา และก็เกล้าผม ใส่เสื้อและผ้าถุงที่ทอเองแบบแม่เฒ่าใส่อยู่นี้"
มะโน แม่เฒ่าผู้ที่ยังมีความเชื่อเรื่องความงามจากการแต่งกายด้วยการสวมห่วงทองเหลืองไว้ที่คอ ยังหวังว่าเด็กรุ่นใหม่จะยังคงรักษาขนบธรรมเนียมการแต่งกายแบบชาวกระยันต่อไป สำหรับแม่เฒ่าแล้วยินดีฝังร่างไว้กับห่วงสีทองที่ใส่มาตั้งแต่ห้าขวบ ปัจจุบันแม่เฒ่ามีห่วงที่คอหนักห้ากิโลกรัมมีจำนวนขดเท่ากับยี่สิบสี่วง และที่ขาอีกข้างละหนึ่งกิโลกรัม
ปัจจุบันแม้เยาวชนในหมู่บ้านจะหันไปแต่งกายตามแฟชั่นบ้างด้วยความสำนึกเรื่องความสวยงามเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่เราก็คงยังเห็นพวกเธอแต่งกายชุดกระยันดั้งเดิมวันช่วงวันสำคัญทางพิธีกรรมต่างๆ เช่น วันแต่งงาน วันงานต้นที หรือช่วงเวลาที่ต้องไปโชว์ตัวในงานประจำจังหวัดต่างๆ เป็นต้น
"หากวันนี้เราไม่สวมห่วงทองเหลือง และไม่สวมชุดกระยันดั้งเดิมไว้ ต่อไปก็จะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเรา เราจะไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยว เพราะเสน่ห์ของวิถีวัฒนธรรมหมดไป"
แม่เฒ่ากระยันทิ้งท้ายให้ข้อคิดกับเด็กรุ่นใหม่ หากแต่ว่าจะสวนกระแสค่านิยมของแฟชั่นที่ทะลักทลายเข้าหมู่บ้านพร้อมกับแขกผู้มาเยือนอีกนานเพียงใดเป็นสิ่งที่ท้าทายชนเผ่าเล็กๆแห่งนี้.