Skip to main content

 


ต้นหว้า,ลูกรัก แม่ได้เล่าไว้ถึงหนี้จำนวนมหาศาลสำหรับตัวแม่ ที่อาจจะดูน้อยนิดในสายตาของเศรษฐีหลายคนที่เขามีหนี้เป็นหลักสิบล้านหรือร้อยล้าน แต่สำหรับแม่และครอบครัวของเราที่มีรายได้ไม่มากนักนั้นแม่มีเหตุผลในการจำยอมเป็นหนี้ด้วยความรักที่มีต่ออนาคตของลูกทั้งสอง นั่นคือการนำเงินมาสร้าง“บ้าน” ขนาดสี่ห้องนอนสามห้องน้ำหลังที่ลูกอาศัยอยู่นี้

เมื่อก่อนแม่ไม่เคยคิดว่าขนาดของบ้านจะสำคัญเท่ากับความอบอุ่นในครอบครัว เราเคยปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่ด้วยกันเมื่อครั้งที่ลูกยังไม่เกิด บ้านชั้นเดียวมีปัญหากับเพื่อนบ้านที่เป็นสัตว์น้อยใหญ่ไม่ว่าจะเป็นมดทั้งกองทัพในฤดูที่ต้องหาอาหารไว้กักตุนก่อนเข้าหน้าหนาว งู ตะเข็บ ตะขาบที่มาเยือนเราเสมอในฤดูน้ำหลากแม้แต่ฤดูร้อนที่เราต้องผจญกับอากาศอันแสนอบอ้าวที่ไม่มีใครเหมือน

แม่จึงต้องการสร้างคุณภาพชีวิตดีๆไว้ให้กับลูกๆของแม่ มีคำหนึ่งที่แม่เคยอ่านเจอ “เมื่อเรามีรองเท้าดีๆสักคู่ มันจะนำพาให้เราก้าวย่างไปอย่างมั่นคง” แม่จึงคิดต่อไปว่า “ เมื่อเราได้นอนพักอาศัยอยู่ในบ้านที่สบายพรุ่งนี้เมื่อก้าวออกจากบ้านไปเราย่อมมีพลังที่จะต่อสู้อุปสรรคและความลำบากที่รออยู่ข้างหน้า”

นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่แม่ยอมแรกความเหนื่อยยากทั้งหมดเพื่อสร้างบ้านที่แม่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต คือบ้านที่ประกอบไปด้วยความรักความอบอุ่นพร้อมหน้า และความสบายที่พอจะหาได้จากน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดที่พ่อแม่แม่จะพึงมี

ลูกลองคิดดูสิว่าแม่เกิดและเติบโตมาเช่นไร ในชีวิตของแม่ใฝ่ฝันจะมีบ้านที่มีพ่อและแม่อยู่พร้อมหน้ากัน ล้อมวงกินข้าวด้วยกัน หยอกล้อกันเล่นเช่นบ้านคนอื่นๆเขาทำกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร แม่จำได้ว่าตั้งแต่เด็กๆยายที่หอบหิ้วแม่ผู้เป็นลูกกำพร้าพ่อไปอยู่บ้านของชายอีกคนที่ต้องเรียกว่าพ่อ และน้องชายต่างพ่อที่อยู่ต่างสถานะจากแม่โดยสิ้นเชิง 

แม่ที่เป็นเพียง”ลูกติด” จะได้ความรักความเอาใจใส่จากใครในบ้านเพียงใด  ก็คงไม่เท่าที่โหยหาเอาจากแม่ คือยายของลูกแต่ยายไม่เคยมีเวลาให้ ทิ้งไว้แต่เพียงพี่เลี้ยงเด็กที่คอยอาบน้ำหาข้าว เอานอน เพราะยายต้องไปเร่หาซื้อของต่างจังหวัดร่วมเดือนๆถึงจะกลับ  

เด็กที่ขาดความรักความอบอุ่นเช่นแม่คงไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าทำไมจึงต้องเป็นเด็กเหลือขอ ชอบชกต่อยมีเรื่องกับเพื่อนนักเรียนชายหญิง เป็นเด็กที่ครูเลือกที่จะบันทึกพฤติกรรมเป็นพิเศษ และกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มองโลกเป็นสีดำ  เกรี้ยวกราด อารมณ์ร้าย เมื่อโตขึ้นมา

เมื่อครั้งที่แม่เป็นครูสอนในโรงเรียนการศึกษานอกระบบหรือ กศน.นั้นแม่เจอเด็กที่ออกกลางคันเพราะตั้งท้องบ้าง  ติดเหล้าบุหรี่บ้าง แม่ไม่เคยนึกรังเกียจหรือซ้ำเติมพวกเขาเลย แม่เข้าใจดีว่าที่มาที่ไปของพฤติกรรมต่างๆนั้นไม่ได้เกิดจากที่ตัวเด็กเอง หากแต่เป็นผู้ใหญ่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต่างหากที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

แม่ยังโชคดีที่ผ่านชีวิตวัยรุ่นมาอย่างหวุดหวิด ไม่วุ่นวิ่นเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน แต่ถึงกระนั้นก็ผ่านสถานการณ์ที่ถูกชักพาให้ไปในทางเสื่อมเสียอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่แม่เป็นวัยรุ่นนั้นยาม้า ซึ่งมาเปลี่ยนชื่อภายหลังว่าเป็นยาบ้า ระบาดอยู่แถวหมู่บ้านและจังหวัดที่แม่อยู่เป็นอย่างมาก แทบจะเรียกได้ว่า ห่างออกจากบันไดบ้านไม่กี่ก้าวก็เจอบ้านที่ส่งยา เสพยา ขายยากันเลยทีเดียว 

มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่มีเพื่อนที่รักกันอยู่คนหนึ่ง แม่ขอเขียนถึงเธอไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับลูก เธอเป็นสาวน้อยที่หน้าตาสะสวย ต่างจากแม่ที่ขี้ริ้วขี่เหร่เพราะไม่ค่อยจะมีรอยยิ้มเสียเท่าไร หนุ่มๆจึงมารุมจีบเพื่อนสาวที่แม่มักไปไหนด้วย 

แม่ไม่ทันได้รู้เลยว่าเพื่อนของแม่นั้นไม่รู้จักคำว่า “รัก”ให้เป็นเพราะเธอต้องเสียอนาคตไปกับความหลงผิดในค่านิยมที่ต่างก็จะมีแฟนกันตั้งแต่ยังไม่ทันเรียนจบ และเลยเถิดไปไกลจนไม่มีจิตใจจะตั้งใจเรียน เพราะเธอได้ข้ามเส้นของความเป็นเด็กไปแล้วนั้นเอง

แม่ได้ข่าวว่าเธอไปกับผู้ชายหลายคน เมื่อแม่ได้ย้ายมาเรียนในโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ในขณะที่เธอย้ายโรงเรียนจนไม่มีที่ให้เรียน แม่มาพบเธออีกครั้งในตอนนั้นแม่อายุ 18 ปี ยังไม่รู้จักความรักหรอกลูก แม้แต่คำว่า “แฟน” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งน่าอายสำหรับแม่  ซึ่งต่างจากวัยรุ่นสมัยนี้ที่ต้องมี “แฟน” จึงจะไม่อายใครคนที่อายกลับกลายเป็นคนที่หา “แฟน”ไม่ได้เสียอีก

แต่เพื่อนของแม่กลับเรียนรู้ความเจ็บช้ำจนกร้านโลก และต้องลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่มีโรงเรียนไหนรับเธออีก  วันนั้นเธอชวนแม่ไปซื้อของในตลาด ในขณะนั้นเธอออกมาใช้ชีวิตเป็นแม่ค้าขายส้มตำเปิดร้านอยู่หน้าบ้านตัวเอง แม่ไปเยี่ยมเธอในวันเสาร์และได้ติดรถไปซื้อของด้วย

สิ่งที่ทำให้แม่เสียใจและเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ยังไม่หมดเพียงแค่เธอพ้นรั้วโรงเรียน แต่เธอยังริเสพยาม้าหรือยาบ้า ทั้งยังจะเป็นผู้ค้าเสียเอง เธออาศัยว่าออกมาซื้อของด้วยครอบครัวจับตาดูเธออย่างหนัก เธอขับรถแวะไปที่บ้านหลังหนึ่ง โดยแม่ต้องรออยู่ในรถสักประมาณอึดใจใหญ่ แม่ไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นมีอะไรกันแน่เห็นเพียงชายกลุ่มใหญ่มองออกมาทางหน้าต่างบ้านไม้หลังโทรมเก่าหลังนั้น

และเมื่อรถแล่นมาจอดที่ลานจอดรถของตลาดเธอหมุนกระจกขึ้นทุกด้านแล้วกดล้อคประตูทั้งสองด้าน  จากนั้นก็เอาผ้าคลี่ขึ้นปกคลุมกระจกหน้ารถ  แม่รู้สึกตกใจมากเมื่อเธอดึงปากกาโปรกเกอร์ขึ้นมา (เธอเคยเรียนโรงเรียนเทคนิคฯ) แกะเอาเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในปากกามันเป็นยาเม็ดเล็กๆสีเหลือง คล้ายยาลดน้ำมูกแก้แพ้

”แบ่งกันไหม   กูมีเยอะ”  เธอหยิบยื่นยาเม็ดหนึ่งให้แม่ด้วยความเป็นเพื่อนทั้งๆที่ราคาแสนแพง  แม่รู้ในอึดใจต่อมาว่าเธอกำลังจะเสพมันเข้าไป แม้จะตกใจแต่เหมือนตกกระไดพลอยโจน แม่คิดว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ หากปฏิเสธและโวยวายก็อาจจะเสียเพื่อนหรือไม่ก็โดนรวบทั้งคู่ หากคนอื่นหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ว่ามียาเสพติดอยู่ในรถที่เราอาศัยมาด้วย แม่จึงแกล้งพูดไปว่า

“มึงเอาเถอะ  กูเอาเบื่อแล้ว ช่วงนี้เลิกมันสักพักใกล้สอบแล้ว” ทั้งที่จริงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่แม่จะได้เห็นการเสพยาบ้าแต่ก็ทำใจดีสู้เสือ  จากนั้นเธอจึงดึงกระดาษฟอยที่อยู่ในซองบุหรี่ขึ้นมาพับๆให้เป็นรูปช้อนเล็กๆ บรรจุยาบ้าที่บดจนเป็นผง เธอบรรจงจุดไฟลนที่ก้นช้อนฟอยบุหรี่อย่างชำนิชำนาญ

แม่ที่ความจริงนั่งตัวแข็งทื่อมองไปที่พฤติกรรมเพื่อนสาวราวกับได้เห็นผ่านตามานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อผงเสพติดถูกความร้อนไม่นานนักก็เดือดพล่านอยู่ในช้อนจำลองนั้นควันสีขาวม้วนต้วนขึ้นมาราวมัจจุราช แต่เธอกลับยื่นใบหน้าสวยๆเข้าไปรับเอาควันมรณะอย่างร้อนรนราวกับกลัวว่ามันจะบินหนีเธอไปเสียก่อน

แม่รู้ทันทีว่าเธอเสี้ยนยา เวลาแห่งความอึดอัดใจผ่านไปเธอจึงลงจากรถเข้าไปซื้อของในตลาด ความรู้สึกของแม่ตอนนั้น กลัวไปหมด กลัวว่าหากขับรถไปเจอด่านตรวจค้น แม่อาจจะต้องถูกจับไปด้วยข้อหาค้ายา กลัวว่าทางบ้านจะรู้ว่ามารู้เห็นมั่วสุมกับสิ่งไม่ดี เมื่อเธอกลับมาจากตลาดฤทธิ์ของยายังทำให้เธอคึกจนขับรถอย่างหน้าหวาดเสียว เมื่อกลับถึงบ้านแม่สาบานเลยว่าจะไม่ไปกับเธออีกเลยตลอดชีวิต

ไม่ใช่ว่าแม่จะไม่รักเพื่อน แต่แม่คงทำอะไรไม่ได้เท่าไรนัก ในเมื่อแม้แต่ครอบครัวที่รักและห่วงใยเธอคอยตักเตือนและให้อภัยเธอเสมอยังไม่อาจทำให้เธอละจากยาได้ ซึ่งหากจะผิดที่เธอเสียทีเดียวก็คงไม่ใช่ทั้งหมดหากไม่มียาบ้าระบาดในตอนนั้น  ไม่มีคนค้ายา ยาไม่ได้หาซื้อง่ายราคาถูกเหมือนยาแก้ปวด และเจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขั้นมากกว่านี้  เธอก็คงไม่ถล้ำตัวติดยา หรือแม้จะติดไปแล้ว ก็อาจจะเลิกได้ถ้าหากไม่มีปัจจัยต่างๆที่ว่ามา

ใช่ว่าจะมีแต่ยาบ้าเท่าลูกเอ๋ยแม้แต่เหล้าแห้งยังระบาดในโรงเรียน ตอนนั้นแม่เรียนอยู่ม.ต้น เพื่อนหลายคนเป็นหัวโจกชอบแกล้งคนอื่นเรียกว่าเป็นขาใหญ่ แน่นอนหนึ่งในนั้นก็ต้องมีแม่รวมอยู่ด้วย แม่ยังรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้ที่ ไปตบตีทำร้ายเพื่อนวัยเดียวกันด้วยข้อหา” เหม็นขี้หน้า” อยู่บ่อยครั้ง

ด้วยความเป็นขาใหญ่จึงต้องทำตัวร้ายๆ คือแสดงออกว่าตัวเองนั้นเหนือว่าผู้อื่นในทางไม่ดี เพื่อนของแม่เอาเหล้าแห้งมาแบ่งเพื่อนที่โรงเรียนกิน แต่ลูกเชื่อไหมว่า จิตฝ่ายดีของแม่บางอย่างบอกแม่ว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับของพวกนี้ แม่จึงไม่เคยเสพยาบ้าหรือสารเสพติดใดเลย นอกจาก”เหล้า” เท่านั้น  และหากจะบอกว่าที่มาของการกินเหล้าของแม่นั้นก็แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันจนแม่อยากจะเล่าให้ลูกฟัง

แม่ดื่มเหล้าด้วยความเสียใจโดยแท้ ในคืนที่เกือบเป็นปกติของครอบครัวแม่ที่พ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ เสียงด่าสาดเสียเทเสียยังดังมาจากใต้ถุนบ้านระหว่างยาย(คือแม่ของแม่)และพ่อน้า

แม่ในวัยสิบสามขวบเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเหล้าขาวที่เหลือเกือบครึ่งขวดขึ้นกระดกลงคอรวดเดียวราวกับน้ำ  แม่ได้ริมรสความขมปี๋ของเหล้าที่เฝือดคอหอยจนแทบกระอักมันออกมา ไม่ช้าฤทธิ์เหล้าก็ทำให้แม่ตัวเบา และสบถบางอย่างที่อยู่ในใจออกมาได้เต็มคำ “กินมันเข้าไปเหล้า กินแล้วก็ทะเลาะกัน กินมันเข้าไป”

มันเป็นความรู้สึกยากจะอธิบาย  มันมีทั้งความสุข ความเศร้า และความขมขื่นในอารมณ์ ในวันที่แม่เมาครั้งแรก จากนั้นไม่นานแม่ก็รู้สึกว่าบ้านมันหมุน จนอยากอ้วกแล้วก็อ้วกออกมา คนที่คอยดูแลก็ไม่พ้นปู่กับย่า ซึ่งแม่รู้สึกสำนึกผิดในการกระทำครั้งนั้นเป็นอย่างมาก  แม้จะเป็นสิ่งเสพติดชนิดเดียวที่ต่อมาแม่จะมักไปข้องแวะกับมันเสมอแต่มันก็ได้ทำลายสติสัมปชัญญะจนทำให้แม่ต้องพลาดพลั้งไปกับสิ่งเลวร้ายอยู่หลายครั้ง

ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังดีว่าเป็นวัยที่ผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต แม่ย้อนคิดกลับไปว่าหากวันนั้นแม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทดลองหรือทดสอบด้วยความคึกคะนองด้วยความอยากเด่นอยากดังในสายตาเพื่อนๆแม่จะมีโอกาสเรียนจนจบมหาวิทยาลัยไหม เพราะต้นทุนชีวิตของแม่อาจจะเรียกได้ว่ามีใบปริญญาใบเดียวเท่านั้นที่ทำให้แม่มีวันนี้

วันที่ได้มีครอบครัวที่อบอุ่นในบ้านหลังใหญ่ที่สร้างเองด้วยน้ำพักน้ำแรง  วันที่ความรักของพ่อและความรักของแม่ที่มีต่อลูกๆได้เยียวยาหัวใจ  ให้แม่ที่ดื้อดึงผิดพลาดที่ผ่านมา ได้รับโอกาสแห่งความรักและความสำเร็จในชีวิต   และที่สำคัญได้มีโอกาสเขียนบทเรียนแห่งชีวิต เพื่อลูกที่แม่รัก

รักลูกที่สุด
แม่

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
12 ตุลาคม 2550 ยามสายของวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่สนามบินแตกตื่นไปกับผู้คนที่เดินทางไปรับผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนคนใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเห็นหญิงกระยันสวมห่วงทองเหลืองที่ขัดจนแวววาว เดินอย่างเป็นระเบียบมาเข้าแถวต้อนรับผู้ว่าฯ คนใหม่อย่างพร้อมเพียงบางคนที่มารอขึ้นเครื่องเข้ามากดชัตเตอร์ขอถ่ายรูปพวกเธอที่แต่งชุดกระยันเต็มยศ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มะลิ เด็กสาวกระยันคนหนึ่งถูกเลือกให้กล่าวคำต้อนรับท่านผู้ว่าฯ ด้วยเหตุผลที่เธอสามารถอ่านหนังสือภาษาไทยได้ชัดเจนที่สุด แม้ว่าเธอจะประหม่าบ้างกับกล้องถ่ายรูป ผู้คน และภารกิจที่เธอจะต้องทำ แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี…
เจนจิรา สุ
25 กันยายน 2550 หมู่บ้านใหม่ค่อนข้างจะคึกคักตกเย็นมีเสียงดีดสีตีเป่าร้องรำทำเพลงเป็นเพลงพื้นบ้าน  เสียงซึงประสานเสียงโม่งสอดรับกับท่วงทำนองเนื้อร้องของแม่เฒ่า เอื้อนไต่บันไดเสียงคลอปี่ไม้ไผ่ผิวหวิวไหวขึ้นลง ไล่เลียงไปไม่ทันสุดบันไดเสียงก็โยนกลับไป-มาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในหมู่บ้านลี้ลับกลางป่าเปลี่ยวดึกดำบรรพ์ที่ไหนสักแห่งที่เคยอยู่อาศัยเมื่อนานมาแล้ว ต่างจากหมู่บ้านเดิมลิบลับ ที่นี่ไม่มีแบตเตอรี่พอเพียงสำหรับเปิดเพลงจากซีดี ไม่มีทีวีให้รุมดู แต่มีกาน้ำชาอุ่นบนกองไฟที่ล้อมวงไปด้วยเด็กๆ หนุ่มสาว จนถึงคนเฒ่าคนแก่ ปรึกษาหารือถึงวิถีชีวิตของวันพรุ่งนี้…
เจนจิรา สุ
20 กันยายน 2550 เจ้าเขียวสะอื้น (มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ) ส่งเสียงครางกระหึ่มอุ่นเครื่องอยู่ใต้ถุนบ้าน ก่อนที่มันจะต้องเดินทางไกลในเส้นทางที่ฟ้าสวยแต่พื้นดินแสนขรุขระตรงกันข้าม สามีฉันจึงจัดแจงเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็คเครื่อง และเพิ่มตะกร้าหลังให้มันเพื่อบรรทุกสัมภาระที่ขนย้ายไปไม่หมด  ชาวบ้านหลายครอบครัวได้ย้ายไปดำเนินชีวิตที่หมู่บ้านใหม่ก่อนหน้าฉันหลายวันแล้ว แต่ฉันติดตรงที่ต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนตามที่หมอนัด จึงยังอาศัยอยู่ที่บ้านแม่สามีไปพลางก่อนเช้านี้เราจึงตัดสินใจจะเดินทางไปหมูบ้านใหม่กัน สำหรับฉันค่อนข้างจะตื่นเต้นเพราะยังไม่เคยเห็นบ้านใหม่ของตัวเองสักที …
เจนจิรา สุ
12 กันยายน 2550 และแล้วก็มาถึงวันที่ทุกคนรอคอย เมื่อวันที่ย้ายต้องเลื่อนออกมาจากกำหนดเดิมอีกสองวัน แสงแดดดูเหมือนจะเป็นใจสาดส่องให้ถนนเส้นทางสายห้วยเดื่อ- ห้วยปูแกงที่เคยชื้นแฉะและเป็นหลุมบ่อจากน้ำฝนแห้งสนิท
เจนจิรา สุ
5 กันยายน 2550 ยามเช้า,ตื่นขึ้นด้วยเสียงเลื่อยไม้, เสียงค้อนตอกตะปู,เสียงสังกะสีกระทบพื้นดังโครมคราม ไก่หลายตัวที่เคยขันปลุกทุกเช้า ถูกเชือดเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงคนที่มาช่วยลงแขกรื้อบ้านตั้งแต่เมื่อวานและเช้านี้ บ้านหลายหลังพังพาบเป็นกองไม้ รอวันขนย้ายไปที่แห่งใหม่ เด็กๆ วิ่งตึงตังในห้องกลางเพราะต้องมานอนรวมแออัดกันที่บ้านย่า ก็คือบ้านสามีของฉัน แม่บ้านและเด็กสาววุ่นวายอยู่ในครัว เหตุการณ์ชุลมนเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ชาวบ้านมาขอคำปรึกษาเรื่องบ้าน ฉันจึงตัดสินใจกดหมายเลขโทรศัพท์ต่อสายพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับปลัดหนุ่มที่ดูแลพื้นที่“ปลัดฯหรือคะ คือฉันมีเรื่องรบกวนจะเรียนถาม…
เจนจิรา สุ
31สิงหาคม2550 22.40 น.ฉันลุกขึ้นเปิดดวงไฟจากแบตเตอรี่อีกครั้ง หลังจากที่ลุกขึ้นมาโทรศัพท์สนทนากับเพื่อนที่เชียงใหม่ ระบายความกลัดกลุ้มด้วยคำพูดแต่ดูเหมือนเมื่อปิดไฟลง ดวงตาก็เบิกโพลงไปกับความคิดฉันจึงปล่อยความคิดโลดแล่นไปกับปลายปากกานับถอยหลังไปอีกสิบวัน หมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่นี้ก็จะถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยให้ไปรวมกับหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปติดชายแดนไทย-พม่าทางฝั่งทิศตะวันตก    เนื่องจากชาวบ้านที่นี่อาศัยอยู่กับนายทุนมานานกว่า 12 ปี ด้วยสัญลักษณ์ที่พิเศษแตกต่างกว่าชนเผ่าอื่น “กะยัน” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากะเหรี่ยงคอยาว…