Skip to main content

 


ต้นหว้า,ลูกรัก แม่ได้เล่าไว้ถึงหนี้จำนวนมหาศาลสำหรับตัวแม่ ที่อาจจะดูน้อยนิดในสายตาของเศรษฐีหลายคนที่เขามีหนี้เป็นหลักสิบล้านหรือร้อยล้าน แต่สำหรับแม่และครอบครัวของเราที่มีรายได้ไม่มากนักนั้นแม่มีเหตุผลในการจำยอมเป็นหนี้ด้วยความรักที่มีต่ออนาคตของลูกทั้งสอง นั่นคือการนำเงินมาสร้าง“บ้าน” ขนาดสี่ห้องนอนสามห้องน้ำหลังที่ลูกอาศัยอยู่นี้

เมื่อก่อนแม่ไม่เคยคิดว่าขนาดของบ้านจะสำคัญเท่ากับความอบอุ่นในครอบครัว เราเคยปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่ด้วยกันเมื่อครั้งที่ลูกยังไม่เกิด บ้านชั้นเดียวมีปัญหากับเพื่อนบ้านที่เป็นสัตว์น้อยใหญ่ไม่ว่าจะเป็นมดทั้งกองทัพในฤดูที่ต้องหาอาหารไว้กักตุนก่อนเข้าหน้าหนาว งู ตะเข็บ ตะขาบที่มาเยือนเราเสมอในฤดูน้ำหลากแม้แต่ฤดูร้อนที่เราต้องผจญกับอากาศอันแสนอบอ้าวที่ไม่มีใครเหมือน

แม่จึงต้องการสร้างคุณภาพชีวิตดีๆไว้ให้กับลูกๆของแม่ มีคำหนึ่งที่แม่เคยอ่านเจอ “เมื่อเรามีรองเท้าดีๆสักคู่ มันจะนำพาให้เราก้าวย่างไปอย่างมั่นคง” แม่จึงคิดต่อไปว่า “ เมื่อเราได้นอนพักอาศัยอยู่ในบ้านที่สบายพรุ่งนี้เมื่อก้าวออกจากบ้านไปเราย่อมมีพลังที่จะต่อสู้อุปสรรคและความลำบากที่รออยู่ข้างหน้า”

นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่แม่ยอมแรกความเหนื่อยยากทั้งหมดเพื่อสร้างบ้านที่แม่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต คือบ้านที่ประกอบไปด้วยความรักความอบอุ่นพร้อมหน้า และความสบายที่พอจะหาได้จากน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดที่พ่อแม่แม่จะพึงมี

ลูกลองคิดดูสิว่าแม่เกิดและเติบโตมาเช่นไร ในชีวิตของแม่ใฝ่ฝันจะมีบ้านที่มีพ่อและแม่อยู่พร้อมหน้ากัน ล้อมวงกินข้าวด้วยกัน หยอกล้อกันเล่นเช่นบ้านคนอื่นๆเขาทำกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร แม่จำได้ว่าตั้งแต่เด็กๆยายที่หอบหิ้วแม่ผู้เป็นลูกกำพร้าพ่อไปอยู่บ้านของชายอีกคนที่ต้องเรียกว่าพ่อ และน้องชายต่างพ่อที่อยู่ต่างสถานะจากแม่โดยสิ้นเชิง 

แม่ที่เป็นเพียง”ลูกติด” จะได้ความรักความเอาใจใส่จากใครในบ้านเพียงใด  ก็คงไม่เท่าที่โหยหาเอาจากแม่ คือยายของลูกแต่ยายไม่เคยมีเวลาให้ ทิ้งไว้แต่เพียงพี่เลี้ยงเด็กที่คอยอาบน้ำหาข้าว เอานอน เพราะยายต้องไปเร่หาซื้อของต่างจังหวัดร่วมเดือนๆถึงจะกลับ  

เด็กที่ขาดความรักความอบอุ่นเช่นแม่คงไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าทำไมจึงต้องเป็นเด็กเหลือขอ ชอบชกต่อยมีเรื่องกับเพื่อนนักเรียนชายหญิง เป็นเด็กที่ครูเลือกที่จะบันทึกพฤติกรรมเป็นพิเศษ และกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มองโลกเป็นสีดำ  เกรี้ยวกราด อารมณ์ร้าย เมื่อโตขึ้นมา

เมื่อครั้งที่แม่เป็นครูสอนในโรงเรียนการศึกษานอกระบบหรือ กศน.นั้นแม่เจอเด็กที่ออกกลางคันเพราะตั้งท้องบ้าง  ติดเหล้าบุหรี่บ้าง แม่ไม่เคยนึกรังเกียจหรือซ้ำเติมพวกเขาเลย แม่เข้าใจดีว่าที่มาที่ไปของพฤติกรรมต่างๆนั้นไม่ได้เกิดจากที่ตัวเด็กเอง หากแต่เป็นผู้ใหญ่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต่างหากที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

แม่ยังโชคดีที่ผ่านชีวิตวัยรุ่นมาอย่างหวุดหวิด ไม่วุ่นวิ่นเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน แต่ถึงกระนั้นก็ผ่านสถานการณ์ที่ถูกชักพาให้ไปในทางเสื่อมเสียอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่แม่เป็นวัยรุ่นนั้นยาม้า ซึ่งมาเปลี่ยนชื่อภายหลังว่าเป็นยาบ้า ระบาดอยู่แถวหมู่บ้านและจังหวัดที่แม่อยู่เป็นอย่างมาก แทบจะเรียกได้ว่า ห่างออกจากบันไดบ้านไม่กี่ก้าวก็เจอบ้านที่ส่งยา เสพยา ขายยากันเลยทีเดียว 

มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่มีเพื่อนที่รักกันอยู่คนหนึ่ง แม่ขอเขียนถึงเธอไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับลูก เธอเป็นสาวน้อยที่หน้าตาสะสวย ต่างจากแม่ที่ขี้ริ้วขี่เหร่เพราะไม่ค่อยจะมีรอยยิ้มเสียเท่าไร หนุ่มๆจึงมารุมจีบเพื่อนสาวที่แม่มักไปไหนด้วย 

แม่ไม่ทันได้รู้เลยว่าเพื่อนของแม่นั้นไม่รู้จักคำว่า “รัก”ให้เป็นเพราะเธอต้องเสียอนาคตไปกับความหลงผิดในค่านิยมที่ต่างก็จะมีแฟนกันตั้งแต่ยังไม่ทันเรียนจบ และเลยเถิดไปไกลจนไม่มีจิตใจจะตั้งใจเรียน เพราะเธอได้ข้ามเส้นของความเป็นเด็กไปแล้วนั้นเอง

แม่ได้ข่าวว่าเธอไปกับผู้ชายหลายคน เมื่อแม่ได้ย้ายมาเรียนในโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ในขณะที่เธอย้ายโรงเรียนจนไม่มีที่ให้เรียน แม่มาพบเธออีกครั้งในตอนนั้นแม่อายุ 18 ปี ยังไม่รู้จักความรักหรอกลูก แม้แต่คำว่า “แฟน” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งน่าอายสำหรับแม่  ซึ่งต่างจากวัยรุ่นสมัยนี้ที่ต้องมี “แฟน” จึงจะไม่อายใครคนที่อายกลับกลายเป็นคนที่หา “แฟน”ไม่ได้เสียอีก

แต่เพื่อนของแม่กลับเรียนรู้ความเจ็บช้ำจนกร้านโลก และต้องลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่มีโรงเรียนไหนรับเธออีก  วันนั้นเธอชวนแม่ไปซื้อของในตลาด ในขณะนั้นเธอออกมาใช้ชีวิตเป็นแม่ค้าขายส้มตำเปิดร้านอยู่หน้าบ้านตัวเอง แม่ไปเยี่ยมเธอในวันเสาร์และได้ติดรถไปซื้อของด้วย

สิ่งที่ทำให้แม่เสียใจและเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ยังไม่หมดเพียงแค่เธอพ้นรั้วโรงเรียน แต่เธอยังริเสพยาม้าหรือยาบ้า ทั้งยังจะเป็นผู้ค้าเสียเอง เธออาศัยว่าออกมาซื้อของด้วยครอบครัวจับตาดูเธออย่างหนัก เธอขับรถแวะไปที่บ้านหลังหนึ่ง โดยแม่ต้องรออยู่ในรถสักประมาณอึดใจใหญ่ แม่ไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นมีอะไรกันแน่เห็นเพียงชายกลุ่มใหญ่มองออกมาทางหน้าต่างบ้านไม้หลังโทรมเก่าหลังนั้น

และเมื่อรถแล่นมาจอดที่ลานจอดรถของตลาดเธอหมุนกระจกขึ้นทุกด้านแล้วกดล้อคประตูทั้งสองด้าน  จากนั้นก็เอาผ้าคลี่ขึ้นปกคลุมกระจกหน้ารถ  แม่รู้สึกตกใจมากเมื่อเธอดึงปากกาโปรกเกอร์ขึ้นมา (เธอเคยเรียนโรงเรียนเทคนิคฯ) แกะเอาเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในปากกามันเป็นยาเม็ดเล็กๆสีเหลือง คล้ายยาลดน้ำมูกแก้แพ้

”แบ่งกันไหม   กูมีเยอะ”  เธอหยิบยื่นยาเม็ดหนึ่งให้แม่ด้วยความเป็นเพื่อนทั้งๆที่ราคาแสนแพง  แม่รู้ในอึดใจต่อมาว่าเธอกำลังจะเสพมันเข้าไป แม้จะตกใจแต่เหมือนตกกระไดพลอยโจน แม่คิดว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ หากปฏิเสธและโวยวายก็อาจจะเสียเพื่อนหรือไม่ก็โดนรวบทั้งคู่ หากคนอื่นหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ว่ามียาเสพติดอยู่ในรถที่เราอาศัยมาด้วย แม่จึงแกล้งพูดไปว่า

“มึงเอาเถอะ  กูเอาเบื่อแล้ว ช่วงนี้เลิกมันสักพักใกล้สอบแล้ว” ทั้งที่จริงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่แม่จะได้เห็นการเสพยาบ้าแต่ก็ทำใจดีสู้เสือ  จากนั้นเธอจึงดึงกระดาษฟอยที่อยู่ในซองบุหรี่ขึ้นมาพับๆให้เป็นรูปช้อนเล็กๆ บรรจุยาบ้าที่บดจนเป็นผง เธอบรรจงจุดไฟลนที่ก้นช้อนฟอยบุหรี่อย่างชำนิชำนาญ

แม่ที่ความจริงนั่งตัวแข็งทื่อมองไปที่พฤติกรรมเพื่อนสาวราวกับได้เห็นผ่านตามานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อผงเสพติดถูกความร้อนไม่นานนักก็เดือดพล่านอยู่ในช้อนจำลองนั้นควันสีขาวม้วนต้วนขึ้นมาราวมัจจุราช แต่เธอกลับยื่นใบหน้าสวยๆเข้าไปรับเอาควันมรณะอย่างร้อนรนราวกับกลัวว่ามันจะบินหนีเธอไปเสียก่อน

แม่รู้ทันทีว่าเธอเสี้ยนยา เวลาแห่งความอึดอัดใจผ่านไปเธอจึงลงจากรถเข้าไปซื้อของในตลาด ความรู้สึกของแม่ตอนนั้น กลัวไปหมด กลัวว่าหากขับรถไปเจอด่านตรวจค้น แม่อาจจะต้องถูกจับไปด้วยข้อหาค้ายา กลัวว่าทางบ้านจะรู้ว่ามารู้เห็นมั่วสุมกับสิ่งไม่ดี เมื่อเธอกลับมาจากตลาดฤทธิ์ของยายังทำให้เธอคึกจนขับรถอย่างหน้าหวาดเสียว เมื่อกลับถึงบ้านแม่สาบานเลยว่าจะไม่ไปกับเธออีกเลยตลอดชีวิต

ไม่ใช่ว่าแม่จะไม่รักเพื่อน แต่แม่คงทำอะไรไม่ได้เท่าไรนัก ในเมื่อแม้แต่ครอบครัวที่รักและห่วงใยเธอคอยตักเตือนและให้อภัยเธอเสมอยังไม่อาจทำให้เธอละจากยาได้ ซึ่งหากจะผิดที่เธอเสียทีเดียวก็คงไม่ใช่ทั้งหมดหากไม่มียาบ้าระบาดในตอนนั้น  ไม่มีคนค้ายา ยาไม่ได้หาซื้อง่ายราคาถูกเหมือนยาแก้ปวด และเจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขั้นมากกว่านี้  เธอก็คงไม่ถล้ำตัวติดยา หรือแม้จะติดไปแล้ว ก็อาจจะเลิกได้ถ้าหากไม่มีปัจจัยต่างๆที่ว่ามา

ใช่ว่าจะมีแต่ยาบ้าเท่าลูกเอ๋ยแม้แต่เหล้าแห้งยังระบาดในโรงเรียน ตอนนั้นแม่เรียนอยู่ม.ต้น เพื่อนหลายคนเป็นหัวโจกชอบแกล้งคนอื่นเรียกว่าเป็นขาใหญ่ แน่นอนหนึ่งในนั้นก็ต้องมีแม่รวมอยู่ด้วย แม่ยังรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้ที่ ไปตบตีทำร้ายเพื่อนวัยเดียวกันด้วยข้อหา” เหม็นขี้หน้า” อยู่บ่อยครั้ง

ด้วยความเป็นขาใหญ่จึงต้องทำตัวร้ายๆ คือแสดงออกว่าตัวเองนั้นเหนือว่าผู้อื่นในทางไม่ดี เพื่อนของแม่เอาเหล้าแห้งมาแบ่งเพื่อนที่โรงเรียนกิน แต่ลูกเชื่อไหมว่า จิตฝ่ายดีของแม่บางอย่างบอกแม่ว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับของพวกนี้ แม่จึงไม่เคยเสพยาบ้าหรือสารเสพติดใดเลย นอกจาก”เหล้า” เท่านั้น  และหากจะบอกว่าที่มาของการกินเหล้าของแม่นั้นก็แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันจนแม่อยากจะเล่าให้ลูกฟัง

แม่ดื่มเหล้าด้วยความเสียใจโดยแท้ ในคืนที่เกือบเป็นปกติของครอบครัวแม่ที่พ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ เสียงด่าสาดเสียเทเสียยังดังมาจากใต้ถุนบ้านระหว่างยาย(คือแม่ของแม่)และพ่อน้า

แม่ในวัยสิบสามขวบเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเหล้าขาวที่เหลือเกือบครึ่งขวดขึ้นกระดกลงคอรวดเดียวราวกับน้ำ  แม่ได้ริมรสความขมปี๋ของเหล้าที่เฝือดคอหอยจนแทบกระอักมันออกมา ไม่ช้าฤทธิ์เหล้าก็ทำให้แม่ตัวเบา และสบถบางอย่างที่อยู่ในใจออกมาได้เต็มคำ “กินมันเข้าไปเหล้า กินแล้วก็ทะเลาะกัน กินมันเข้าไป”

มันเป็นความรู้สึกยากจะอธิบาย  มันมีทั้งความสุข ความเศร้า และความขมขื่นในอารมณ์ ในวันที่แม่เมาครั้งแรก จากนั้นไม่นานแม่ก็รู้สึกว่าบ้านมันหมุน จนอยากอ้วกแล้วก็อ้วกออกมา คนที่คอยดูแลก็ไม่พ้นปู่กับย่า ซึ่งแม่รู้สึกสำนึกผิดในการกระทำครั้งนั้นเป็นอย่างมาก  แม้จะเป็นสิ่งเสพติดชนิดเดียวที่ต่อมาแม่จะมักไปข้องแวะกับมันเสมอแต่มันก็ได้ทำลายสติสัมปชัญญะจนทำให้แม่ต้องพลาดพลั้งไปกับสิ่งเลวร้ายอยู่หลายครั้ง

ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังดีว่าเป็นวัยที่ผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต แม่ย้อนคิดกลับไปว่าหากวันนั้นแม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทดลองหรือทดสอบด้วยความคึกคะนองด้วยความอยากเด่นอยากดังในสายตาเพื่อนๆแม่จะมีโอกาสเรียนจนจบมหาวิทยาลัยไหม เพราะต้นทุนชีวิตของแม่อาจจะเรียกได้ว่ามีใบปริญญาใบเดียวเท่านั้นที่ทำให้แม่มีวันนี้

วันที่ได้มีครอบครัวที่อบอุ่นในบ้านหลังใหญ่ที่สร้างเองด้วยน้ำพักน้ำแรง  วันที่ความรักของพ่อและความรักของแม่ที่มีต่อลูกๆได้เยียวยาหัวใจ  ให้แม่ที่ดื้อดึงผิดพลาดที่ผ่านมา ได้รับโอกาสแห่งความรักและความสำเร็จในชีวิต   และที่สำคัญได้มีโอกาสเขียนบทเรียนแห่งชีวิต เพื่อลูกที่แม่รัก

รักลูกที่สุด
แม่

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…