มีนาคม 2551
ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา
ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า
อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง ได้รับการศึกษาเต็มความสามารถที่จะไปถึง ตัดสินใจทิ้งสังคมศิวิไลซ์มาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไร้ความสะดวกสบาย และเก็บงำตัวเองออกจากโลกภายนอก
เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันพบตัวเองก้าวข้ามสะพานเล็กๆ ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงนัก สะพานที่เชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้าน หากแต่อีกฟากหนึ่งของสะพานกลับเป็นโลกอีกใบที่แตกต่าง ราวกับตัดขาดหมู่บ้านที่ห่างออกมาไม่ถึงร้อยเมตร
บนถนนเส้นเดียวที่ตัดเข้าหมู่บ้าน ฉันย่างเท้าด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ ไม่กล้าแม้แต่จะเพ่งสายตาไปยังจุดใด เท้าสั่งให้ก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังตัว
ฉันมองเห็นทุกอย่างถูกทำให้เป็นสินค้าแม้กระทั่งตัวเธอเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางข้าวของที่ระลึก การยืนหลังร้าน ยิ้มแบบเดียวกัน เพื่อเชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูป และมีแก่ใจซื้อของในร้าน
เมื่อเวลาผ่านไป ฉันได้ค้นพบสิ่งที่อยู่หลังร้านขายของเหล่านั้น มันคือครรลองชีวิตและสีสันที่แตกต่างจากที่เคยรู้สึก มันซ่อนอยู่วิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา อยู่บนเตาไฟควันโขมง อยู่ในวงแขนที่กรำงานหนัก อยู่ที่ปลายควันกระบอกปืนยามเข้าป่าล่าสัตว์ หรือแม้แต่ยามตะวันตกดินบนเสื่อที่นอนแข็งชา
ลึกลงไปในความรู้สึกของหญิงชราที่หาบห่วงทองเหลืองอันหนักอึ้งไว้บนไหล่ ห่วงสีทองยังคงคุณค่าตั้งแต่เริ่มใส่และงดงามเสมอมาจนถึงวันนี้ แม่เฒ่าปฏิญาณว่าจะไม่ถอดออกแม้ถึงวันที่ดินกลบหน้า
ทว่าห่วงโซ่แห่งความรู้สึกย่อมมีวันเก่าผุพัง ห่วงสีทองกลายเป็นพันธนาการแห่งชีวิตที่ไม่อาจปฏิเสธ ในความรู้สึกของกระยันแรกรุ่น ที่ความเชื่อถูกสั่นคลอนด้วยตู้สี่เหลี่ยม ถ่ายทอดโลกภายนอกที่ทะลักล้นเข้ามาในหมู่บ้านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หญิงกระยันวัยรุ่นไม่น้อย ปลดปล่อยตัวเองในชุดยีนหลังพระอาทิตย์ตกดิน แต่เมื่อยามเช้ามาถึงพวกเธอก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นเสื้อกระสอบ ผูกผมหน้าม้า ยืนอยู่ในที่ประจำ ก่อนจะสลัดชุดทำงานเมื่อแขกคนสุดท้ายลากลับ
ในขณะที่อีกหลายคนเลือกที่จะทิ้งห่วงทองเหลือง หันหลังกลับคืนสู่ศูนย์อพยพ พวกเธอหวังว่าจะได้บินไกลไปอยู่ประเทศที่สามตามโครงการของ UNDP
หากย้อนกลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน ชุมชนกระยันแห่งนี้ยังคงอาศัยในอีกฝั่งของแม่น้ำสาละวิน ในรัฐคะยา ประเทศพม่า วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขา ยังไม่พบกับการเปลี่ยนแปลงที่บ่าไหลมากับผู้คนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทายถึงบันไดบ้าน
ชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กระจัดกระจายไปตามท้องไร่ท้องนา วิถีชีวิตผูกพันอยู่กับการทำกสิกรรม ครรลองชีวิตดำเนินไปอย่างเนิบช้าและเรียบง่าย
ชาวกระยันได้เริ่มอพยพเข้ามาในประเทศไทยราวกับนกอพยพที่คอยส่งข่าวให้กันถึงโอเอซีสแห่งใหม่ และจนกระทั่งปัจจุบันเราสามารถพบเห็นชาวกระยันได้เกือบทั่วภาคเหนือของไทย
เหตุอันใดที่นกพลัดถิ่นเช่นพวกเขาตัดสินใจทิ้งรังที่อยู่มาค่อนชีวิต บินลัดฟ้ามาไกลถึงแดนสยาม คงจะเป็นคำตอบเดียวกันกับผู้ลี้ภัยอีกหลายๆชนเผ่า ชนกลุ่มน้อยที่รักสงบ ถูกรุกรานจากระบบการปกครองที่ไม่เหลือที่ว่างให้กับผู้อ่อนแอ
จากทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สู่กรงทองที่พร้อมพรั่งไปด้วยอาหาร สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้พวกเขาต้องปรับตัวในการดำรงชีวิต
หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า ที่ไม่มีแม้แปลงผักหลังบ้าน กระท่อมหลังเล็กๆ นับสิบหลังปลูกเบียดเสียดกันบนผืนนาเพียงสิบไร่เศษ มองเห็นคนแปลกหน้าย่ำเท้าเข้ามามากมายเสียยิ่งกว่าข้าวในนา
พวกเขาหว่านเพาะเม็ดเงินแทนเม็ดข้าว ใช้วัฒนธรรมที่เข้มแข็งแทนปุ๋ย บนที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความกระหายใคร่รู้ของนักท่องเที่ยว ถึงกับทำให้บางคนร่ำรวยมั่งคั่ง
แต่สิ่งที่มีค่ามากไปกว่าเงินทอง การกินอิ่มนอนอุ่น คือการฝันถึงอิสรภาพ นกในกรงทองที่มีค่าตัวแพงลิ่ว มีอาหารคอยป้อนเช้าเย็น แต่ไร้ซึ่งเสรีภาพที่จะโผบิน
ประเทศไทยซึ่งมีชนกลุ่มน้อยมากมาย อาจพบเห็นเดินสวนทางกันไปมาบนทางเท้า ร้านค้า ร้านอาหารหรือแม้แต่มหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้หมายถึงชนเผ่ากระยันที่ไร้แม้กระทั่งสัญชาติ ไม่มีโอกาสทางการศึกษา และดูเหมือนว่าจะถูกแถมพ่วงด้วยการดูหมิ่นทางวัฒนธรรมมากกว่าชนเผ่าทั่วไป
แม้ชาวกระยันจะอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน บางครอบครัวอาจนานกว่ายี่สิบปี เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศและเกือบทั่วโลก แต่ก็ไม่อาจระบุสถานะที่ชัดเจนได้ เพราะหากเป็นผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ ก็ต้องอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพบ้านในสอย
พวกเขาได้อิสรภาพเต็มที่หากยังอยู่ในเขตชุมชนและผืนป่าที่จัดไว้สำหรับการท่องเที่ยว แต่ไม่มีที่ว่างแม้เพียงนิดหากก้าวล้ำเข้ามาสู่เขตเมือง
วันหนึ่งนกที่ฝันแต่จะบิน กับนกที่บินมาจนเหนื่อยได้มาเจอกัน นกตัวหนึ่งพยายามปลดปล่อยนกอีกตัวเพื่อให้สามารถกระพือปีกเคียงข้างกันไปในท้องฟ้า แต่มันก็ยากเกินกว่าที่จะทำได้
นกตัวนั้นจึงหักปีกตัวเองเพื่อเข้าไปอยู่เคียงข้างนกในกรงทอง เพื่อจะไม่รู้สึกอย่างโดดเดี่ยวเช่นที่ผ่านมา และรอคอยว่าสักวันจะได้บินไปในท้องฟ้าอีกครั้งกับคู่ของมัน หากวันใดกรงที่กักขังเปิดอ้าและคืนอิสรภาพให้นกในกรงทอง.