Skip to main content
 
 
ความเห็นของนักธุรกิจ hi-profile มักมีคนสนใจฟัง โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ควักกระเป๋าเช่าเวลาสถานีโทรทัศน์จัดรายการให้ตนเองได้บรรยายความรอบรู้จากประสบการณ์ส่วนตัวออกอากาศเป็นวิทยาทานแก่ชาวบ้านแบบ one-way communication คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ก็เช่นเดียวกัน
 
อย่างไรก็ตาม ข้อความเห็นข้างล่างนี้ มีที่เข้าใจผิดอยู่บางประเด็น:
 
1) เกาหลี(ใต้) ไต้หวัน สิงคโปร์แม้จนทุกวันนี้ก็ยังมีกรณีคอร์รัปชั่นและใช้อำนาจไปในทางมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองอยู่ 
 
ล่าสุดในเกาหลีใต้ มีกรณีหน่วยงานข่าวกรองของรัฐ (NIS) แทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยใช้คนโพสต์ข้อความเชียร์ผู้สมัครประธานาธิบดีปาร์คกึนเฮ และโจมตีผู้สมัครประธานาธิบดีฝ่ายค้าน จนถูกเปิดโปงสอบสวนและประท้วงเป็นการใหญ่ในขณะนี้ http://www.dw.de/south-koreans-protest-alleged-election-interference/a-17041363
 
ไต้หวันเกิดกรณีคอร์รัปชั่นอื้อฉาวต่อเนื่องหลายเรื่องซึ่งผู้ต้องหาคือบรรดาผู้ช่วยคนสนิทที่สุดของประธานาธิบดีหม่าหยิงโจวแห่งพรรคก๊กมินตั๋ง จนกระทั่งไต้หวันถูกตั้งสมญาอย่างน่าอายว่า "สาธารณรัฐแห่งการคอร์รัปชั่น" http://www.taipeitimes.com/News/editorials/archives/2013/06/04/2003563910
 
ส่วนสิงคโปร์ กรณีคอร์รัปชั่นอื้อฉาวล่าสุดถูกเปิดโปงออกมาเมื่อสองปีก่อนและการดำเนินคดียังต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เกี่ยวกับหัวหน้า 2 หน่วยงานราชการสำคัญด้านความมั่นคงคือหัวหน้ากองกำลังป้องกันพลเรือนสิงคโปร์และหัวหน้าหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดกลาง (the Singapore Civil Defence Force (SCDF) and the Central Narcotics Bureau (CNB) ) ต่างถูกสอบสวนว่ามีสัมพันธ์สวาทกับนักธุรกิจสาวด้าน IT และปล่อยปละละเลยให้ผลิตภัณฑ์ IT ที่สั่งซื้อเข้าหน่วยงานไม่ได้มาตรฐานเพราะเหตุนั้น http://globalvoicesonline.org/2012/01/27/singapore-corruption-scandal-in-least-corrupt-nation/ และ http://news.asiaone.com/News/Latest+News/Singapore/Story/A1Story20120125-323860.html
ดังนั้น 3 ประเทศแบบอย่างที่คุณวิกรมยกมา ไม่ได้ปลอดคอร์รัปชั่นอย่างที่ชวนให้เข้าใจนะครับ
 
2) ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของ 3 ประเทศดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับแนวนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล, กลุ่มธุรกิจหลักของแต่ละประเทศ, และโอกาสด้านการลงทุนและส่งออกที่อเมริกากับญี่ปุ่นเอื้ออำนวยให้ในยุคสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม ไม่ใช่เพราะปราบคอร์รัปชั่นเกลี้ยงเกลาแต่อย่างใด เรื่องนี้คุณวิกรมคงต้องออกแรงอ่านค้นคว้าเอกสารตำราเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจของสามประเทศนี้เพิ่มเติมหน่อยละครับ เช่น Michael Spence นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2001 โดยเฉพาะเล่ม The Next Convergence: The Future of Economic Growth in a Multispeed World, หรือ Ha-Joon Chang นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษ เชื้อสายเกาหลี โดยเฉพาะเรื่อง Globalisation, Economic Development and the Role of the State 
 
3) ดังนั้นผมจึงไม่แน่ใจว่าการประหารชีวิตนักการเมืองและข้าราชการทุจริตคอร์รัปชั่นสักหมื่นคน เอาเข้าจริงจะแก้ปัญหานี้ได้นะครับ ความจริงข้อเสนอทำนองนี้ ไม่มีอะไรใหม่ ผมเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วจากนักธุรกิจอิสระอินโดนีเซียซึ่งติดสินบนเจ้าหน้าที่อย่างโชกโชน (ดู สารคดีเรื่อง Faces of Everyday Corruption in Indonesia) เพียงแต่ผู้เสนอชาวอินโดนีเซียท่านนั้นไม่ดุเดือดเลือดพล่านถึงขนาดระบุจำนวนศพที่ต้องการว่าเป็นเท่าไหร่เพื่อแก้ปัญหานี้ 
 
กล่าวในแง่นี้ก็ต้องนับว่าจำนวนตัวเลข "ประหารสัก 10,000 คน" ของคุณวิกรมไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทยจริง ๆ อาทิเช่น 
 
-จอมพลประภาส จารุเสถียรก็เพียงคาดคะเนว่าการปราบปรามนักศึกษาที่ประท้วงเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 อาจทำให้ "นักศึกษาจะเสียไปราว 2% จากจำนวนเป็นแสนคน" (คือแค่ 2,000 คน)
 
-การดำเนินสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ ก็ปรากฏตัวเลขผู้ต้องสงสัยค้ายาบ้าที่เสียชีวิตจากวิสามัญฆาตกรรมแค่ราว 2,275 ราย
 
-แม้แต่สงครามประชาชนระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2508 - 2528 ก็มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย (ยังไม่นับชาวบ้านที่โดนลูกหลง) รวม 10}504 คน ซึ่งก็มากกว่าตัวเลขเสนอแนะของคุณวิกรมอยู่ แต่นั้นเป็นสงครามกลางเมืองนาน 20 ปี ขณะที่สิ่งที่คุณวิกรมเสนอนั้น คือให้ประหารในภาวะปกติของบ้านเมืองและคงไม่นานถึง 20 ปีแน่นอน
 
ก็ขอแนะนำให้คุณวิกรมลองเสนอคุณสุเทพ ณ กปปส. เพื่อให้ทางสภาประชาชนที่อาจจะก่อตั้งขึ้นในอนาคตได้พิจารณา เพราะถ้าเป็นสภาผู้แทนราษฎรปกติภายใต้รัฐธรรมนูญ คงจะยากอยู่ โดนประท้วงแหลกจากนานาอารยประเทศที่เขาซื้อสินค้าออกจากเราแน่ว่ามัน "ไม่อารยะ" เกินไป
 
 
 

บล็อกของ เกษียร เตชะพีระ

เกษียร เตชะพีระ
"ในฐานะผู้เคยทำการปฏิวัติด้วยความรุนแรง ผมใคร่บอกว่าเราต้องหาทางเจือผสมการปฏิวัติด้วยความไม่รุนแรงให้มากที่สุด เพราะเหตุใดน่ะหรือ? ก็เพราะว่าบรรดาไพร่ทาสราษฎรสามัญชนโดยทั่วไปนั้นหาได้มีอาวุธสงครามในมือเหมือนกลไกรัฐภายใต้การบังคับควบคุมของชนชั้นปกครองไม่.."    
เกษียร เตชะพีระ
กระบวนการเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์ดังที่เป็นอยู่ จึงก่อผลสำคัญด้านความเหลื่อมล้ำทางโภคทรัพย์ที่เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย ไม่ใช่อุดหนุนเกื้อกูล, พลังประชาธิปไตยบนฐานอำนาจเสียงข้างมากของคนที่ขาดด้อยโภคทรัพย์ต้องหาทางคะคานถ่วงดุลอำนาจทุนมหาศาลของคนมั่งมีโภคทรัพย์เสียงข้างน้อยไว้ มิฉะนั้นประชาธิปไตยก็จะหมดความหมายในทางเป็นจริงไปในที่สุด
เกษียร เตชะพีระ
เฉพาะหนึ่งปีที่ผ่านมา รถยนต์ที่ขายในประเทศร่ำรวย อาทิ ญี่ปุ่นและอเมริกา กลับมียอดแซงหน้าในประเทศตลาดเกิดใหม่ จีนไม่ใช่ประเทศที่มีอัตรายอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นสูงสุดอีกต่อไป หากกลับเป็นไทย (ที่ ๖๐%!) และอินโดนีเซีย (ที่ ๓๕%) ในรอบปีที่ผ่านมา
เกษียร เตชะพีระ
ก้องกังวานสะท้านฟ้ามหาสมุทร ด้วยคลั่งแค้นแสนสุดประกาศกล้า เป็นแสนเสียงล้านเสียงมหาประชา สยบขวัญสั่นอุราเผด็จการ...
เกษียร เตชะพีระ
"ประชานิยม" "คนชั้นกลางนิยม" "คนรวยนิยม" "อำมาตย์นิยม" "ประชาธิปัตย์นิยม" "ม.๑๑๒ นิยม" "ราชบัณฑิตนิยม" "ยิ่งลักษณ์นิยม" "ทักษิณนิยม" "พันธมิตรนิยม" "นิติราษฎร์นิยม" "นิด้านิยม"