Skip to main content

“อากาศหนาวๆ เย็นๆ อย่างนี้ หากได้หาใครสักคนมาอยู่ข้างกายก็คงจะดี” เพื่อนรุ่นพี่พูด บอกเสมือนจะสื่อให้ผมหาใครสักคนมาอยู่ข้างกาย เพื่อเป็นเพื่อนคุย แต่ผมคิดว่านัยยะของคำพูดนี้ น่าจะสะท้อนความคิดบางอย่าง ว่าการที่จะมีใครสักคนเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เราในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ แน่นอนว่าจะช่วยทำให้เราอุ่นกายและอุ่นใจได้พร้อมๆ กัน

ผมครุ่นคิดถึงคำพูดของเพื่อนรุ่นพี่ หลายวัน พลันกับได้ยินเรื่องราวเรื่องการคัดค้านมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือ ‘มอ’ นอกระบบ  ก็ทำให้นึกถึง ความรักนอกระบบ ไปด้วย

ความรักนอกระบบ กับ ‘มอ’ นอกระบบ แม้จะไม่เหมือนกัน แต่ความต่างของทั้งสองเรื่องก็น่าจะทำให้เรามองเห็นความเป็นไปของสังคมมนุษย์ได้อย่างเท่าทัน

มหาวิทยาลัยนอกระบบ จะเป็นจุดเริ่มต้นของ “จุดจบ” บางอย่างของชีวิตนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องหลักประกันทางการศึกษา ฯลฯ ซึ่งผมมองว่า การนำมหาวิทยาลัยภายใต้รัฐแปรรูปไปสู่การอยู่ในกำกับ จะสามารถสร้างความอิสระของสถานอุดมศึกษาในการบริหารจัดการต่างๆ แต่นั้นอาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีต่อนักศึกษาผู้เล่าเรียนและแสวงหาเท่าใดนัก

เนื่องเพราะทุกวันนี้ การอุดหนุนค่าใช้จ่ายทางการศึกษาและการกำหนดเพดานสนับสนุนงบลงทุนเพื่อการศึกษานั้น รัฐอุดหนุนค่อนข้างจะพอดีต่อความจำเป็นของแต่ละสถานที่ และหากออกนอกระบบไปแล้วเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการยกเลิกเพดานการศึกษาและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากรัฐอย่างเพียงพอและทั่วถึง นั่นจึงทำให้มหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบต่างจัดการหาทุนมามากขึ้น

ส่วนความรักนอกระบบ ในที่นี่ผมจะกล่าวถึง ความรักระหว่างคนกับคน หรือระดับปัจเจก ซึ่งมีนัยระหว่างคู่กับคู่นั่นเองแหละครับ – ความรักนอกระบบ นั้น เป็นความรักที่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับของคนในสังคมมากกว่า “ความรักตามระบบ” เนื่องเพราะความรักที่เป็น “ความรักของคนรักเพศเดียวกัน” – เช่น ชายรักชาย หญิงรักหญิง, “ความรักของคนอายุน้อย” – เช่น เยาวชน วัยรุ่น เด็กๆ, “ความรักนอกสมรส” - ไม่ได้แต่งงานแล้วดันมีรักหรือมีเซ็กส์กันก่อนแต่ง หรือ “ความรักของคนหลายใจ” – พวกที่แบบไม่ได้รักเดียวใจเดียว ความรักต่างๆเหล่านี้เป็นความรักนอกระบบ ที่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับทางสังคม

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น, ผมเองก็ไม่ทราบนะครับ

ทั้งนี้ เมื่อความรักนอกระบบ นำไปสู่ “เซ็กส์” ด้วยล่ะก็ ไม่ต้องพูดเลยว่าจะได้รับการยอมรับแค่ไหน เพราะสังคมยังคงเมินเฉย และไม่ยอมรับต่อเซ็กส์ที่ไม่ใช่เซ็กส์ของผู้ใหญ่ เซ็กส์ของคนรักต่างเพศ เซ็กส์เพื่อสืบทายาท เซ็กส์กับคนๆ เดียว และเซ็กส์พร้อมกับพิธีกรรมแต่งงาน ฉะนั้นแล้ว เซ็กส์ของเด็ก เซ็กส์ของคนรักเพศเดียวกัน เซ็กส์เพื่อความบันเทิง เซ็กส์กับคนหลายๆ คน และเซ็กส์ก่อนแต่งงาน ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมเป็นแน่แท้

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้, ผมเองก็ไม่ทราบนะครับ

ทว่าเมื่อได้รับฟัง พี่ๆ บางคนเล่าให้ฟังเรื่องว่าความรักและเซ็กส์สัมพันธ์ของคนไทยแต่เดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร หลายคนยกตัวอย่างเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เรื่องลิลิตพระลอ ขึ้นมาเปรียบให้เห็นสังคมไทยสมัยแต่เดิมดั้งว่า แท้แล้ว เรื่องเพศเป็นเรื่องเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีไว้เพื่อสืบพันธุ์ หรือเพื่อจรรโลงศีลธรรมอันดีงาม ต่อเมื่อไทยรับเอาอิทธิสมัย “วิคทรอเรีย” เข้ามาใช้ อาทิเช่น การแต่งตัวของหญิง การครองเรือน หรือแม้กระทั่งการรักนวลสงวนตัว ก็เกิดในยุคนี้ ซึ่งเท่าที่ทราบคือได้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5

นับตั้งแต่นั้นมา ความรักแบบในระบบ จึงถูกสถาปนาขึ้นมาเพื่อทำให้เป็น “บรรทัดฐาน” ของสังคม กลายเป็นจารีตประเพณีที่หยั่งลึกลงไปในสังคม ทำให้พื้นที่ของคนที่มีความรักแตกต่างออกไปจากบรรทัดฐานของสังคม ไม่ได้รับการยอมรับและเข้าใจ กลับกลายเป็นของแปลกแยกในสังคมไปโดยปริยาย

เมื่อทราบประวัติศาสตร์แล้ว ใช่จะหมายความว่าเราจะต้องยอมรับเรื่องเพศนอกระบบทันทีก็คงไม่ใช่เพราะประวัติศาสตร์คงทำให้เราได้เห็นถึงที่มาของเรื่องบางเรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมรับในประวัติศาสตร์เลย อย่างน้อยๆ เราก็รู้ว่า เวลามีคนบอกว่า แบบนี้เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย เราจะได้บอกได้ว่า วัฒนธรรมไทยแท้แล้วเป็นแบบไหนกันแน่

ส่วนเรื่องการจะยอมรับหรือไม่นั้น ประวัติศาสตร์อาจช่วยทำให้เรามองสังคมมองเรื่องเพศเรื่องความรักอย่างเข้าใจมากขึ้น อันจะนำไปสู่การ “รื้อสร้าง” วิธีคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ต่อเรื่องเพศวิถีของคนที่กว้างขึ้น เข้าใจและยอมรับความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น

ในใจผมจริงๆ แล้ว อยากให้เรามองความรักนอกระบบด้วยความเข้าใจ และยอมรับในวิถีชีวิตทางเพศของคนที่แตกต่างจากเรา แม้ว่าเขาจะเลือกมันหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อเขามีวิถีแบบนั้นแล้ว เราน่าจะมองเขาด้วยความเอื้ออารีและไม่ตีตราหรือต่อว่าต่อขานกับทางเลือกชีวิตของคนนั้นๆ ตราบเท่าที่ทางเลือกนั้นไม่ได้ไปเบียดเบียนหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น

ส่วนเรื่อง มหาวิทยาลัยนอกระบบ ไม่ว่าใครจะเอาบทเรียนจากต่างประเทศมาพูดคุยสรรพคุณว่าดีแบบนั้น แบบนี้ ผมว่ามันดูจะเป็นการพูดที่ไม่เข้าใจเลยว่าบริบทวัฒนธรรมการศึกษาของบ้านเราเป็นแบบไหน (การศึกษาก็เริ่มปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นเดียวกับการสถาปนารักในระบบ) แม้ว่าทุกวันนี้ระบบการศึกษาจะมุ่งไปที่การแข่งขันทางการตลาดก็ตาม ผมว่าระบบการศึกษาควรจะแก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ มากกว่าการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนะครับ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การเข้าถึงการศึกษาของคนยากจน เป็นต้น

ทั้งนี้ จุดหนึ่งที่ผมว่ารักนอกระบบยังดีกว่ามหาวิทยาลัยนอกระบบนั้นก็คือ ความรักนั้นย่อมเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความปลอดภัย ความสุข ความรับผิดชอบ และยินยอมพร้อมใจของคนสองคน ทว่าการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น ไม่มีทั้งความปลอดภัย ความสุข ความรับผิดชอบ และความยินยอมพร้อมใจของคนที่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิด...

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะ บางทีแล้วการที่เราออกมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้น มันก็มีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามบริบทของการทำงานและพื้นที่สภาพแวดล้อม ซึ่งนั่นล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการทำงานของกลุ่มคนที่มากมายหลายประเภทเฉกเช่นดอกไม้ในสวนน่ายล ท่ามกลางบรรยากาศสังคมอมยิ้มไม่ออกเช่นนี้ เยาวชนคนหนุ่มสาวก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่เข้าไปอยู่ในบริบทของความย้อนแย้งขัดเกลาเราเขาเช่นนี้ กล่าวคือมีทั้งเยาวชนที่เห็นด้วยกับแนวทางของซีกพันธมิตร และเยาวชนที่ไม่เห็นด้วยก็มีมาก ส่วนกลุ่ม “สองไม่เอา” นั่นก็มีไม่น้อย ทว่า กลุ่มที่ดูจะมีคือ “กรูไม่เอาสักอย่าง” เสียอีกที่มีเยอะ
กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นเมื่อมีการชุมนุมของพี่ๆ ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และ กลุ่มต้านพันธมิตรฯ คือ “อีกแล้วเหรอ”  ซึ่งเป็นความรู้สึกที่กลัวว่าเหตุการณ์จะนำพาไปสู่เหตุการณ์ “รัฐประหาร” เหมือนเมื่อครั้งปี 2549 อีกหนที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ ถูกมองว่า เป็น “เงื่อนไข” สำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารในครั้งล่าสุด แถมยังไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในการต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งเลยแม้แต่นิด ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่คนอื่นๆ ทั่วไป เขาจะมองว่ากลุ่มพันธมิตร เอาดี เห็นงาม กับการทำให้เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนั้นสำหรับนักประชาธิปไตยอีกฝากแล้ว…
กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะ หลายวันที่ผ่านมาผมและเพื่อนๆ หลายคน ที่ติดตามข่าวเรื่องการชุมนุมของ “พันธมิตร” ต่างใจจดใจจ่ออยู่กับจุดมุ่งหมายท้ายสุดที่จะเดินไปถึง พร้อมๆ กับกระแสข่าวการ “ปฏิวัติ” ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อมั่นว่าการชุมนุมโดย “สันติ” อย่างมี “สติ” เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่สามารถดำเนินการได้ แต่การสลายการชุมนุมโดยการใช้ “ความรุนแรง” ที่ “ไร้สติ” นั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และปรารถนายิ่งนัก
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย1“ขอโดลเช่ เดอ ลาเช่ ขนาดกลางแก้วหนึ่งค่ะ เพิ่มกาแฟอีกชอตและะ No whip cream ค่ะ อ้อ! ขอแบบไลท์ด้วยนะคะ Low Calories ด้วย ขอบคุณค่ะ” เฮือก! โล่งอก! ฉันพูดประโยคยาวยืดนี่จบซะที! จะมีใครรู้ไหมนะว่าฉันต้องฝึกพูดคำว่า “โดลเช่ เดอ ลาเช่” มาตั้งกี่ครั้งกว่าจะมาเสนอหน้าสั่งกาแฟชื่อประหลาดอย่างคล่องปากนี่ได้ แต่คริๆ...คงไม่มีใครรู้หรอก เพราะฉันวางมาดดีไม่มีหลุดราวกับเรียนการแสดงจากครูแอ๋วมาเสียขนาดนี้ ใครๆก็ดูแต่เปลือกกันทั้งนั้นแหละเธอ! เอาล่ะ สะบัดบ๊อบไปนั่งรอกาแฟได้แล้วย่ะยัยมาริยา อ๊ายส์! จ่ายเงินก่อนสิยะเธอ!!  ฉันใช้ริมฝีปากที่ทาลิปสติค Christian Dior อย่างบรรจง ค่อยๆ ดูดกาแฟ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัยปล. คาวีเป็นชื่อพระเอกในละครตบจูบเรื่อง “สวรรค์เบี่ยง” ทางช่อง 3 ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้สวัสดีค่ะ คุณคาวี พักนี้มีข่าวข่มขืนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กันพรึ่บพรั่บ ราวกับคนในบ้านเมืองของเราร่วมแรงแข็งขัน (และแข่งขัน) กันข่มขืนเป็นเมกะโปรเจ็กต์ ตั้งแต่รุ่นเด็กประถมยันอาจารย์มหาวิทยาลัย ดูแล้วชวนห่อเหี่ยวละเหี่ยใจเสียฉิบ ไม่ยักเหมือนเวลาดูคุณคาวีข่มขืนเลยนะคะ ดูแล้วได้ความบันเทิงเริงเมืองปนโรแมนติค ก็แหม…เวลาพูดถึงคนร้ายข่มขืนผู้หญิงทีไร ใครๆ ก็นึกถึงแต่ผู้ชายตัวดำๆ ไว้หนวดเครารุงรัง หน้าเถื่อนๆ ยืนดักอยู่ตามซอกตึก เหม็นกลิ่นเหล้าคุ้งเคล้ากลิ่นเหงื่อปนกลิ่นคาวปลาตามตัว…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมต้องคิดหนักและเหนื่อยกับการใช้พลังในการพัฒนาโครงการ “กล้าเลือก กล้ารับผิดชอบ” ของเครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ ประเทศไทย โครงการนี้เป็นโครงการที่จะสร้างกลไกระดับพื้นที่เพื่อรณรงค์ สร้างความเข้าใจเรื่องเอดส์ เพศศึกษาอย่างรอบด้าน และสนับสนุนให้เยาวชน ตระหนักและมีทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้เรื่องการป้องกันเอดส์ รู้จักประเมินความเสี่ยงของตนเอง และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของตนให้ปลอดภัยผ่านการดำเนินการกับกลุ่มเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่ 8 กลุ่ม ใน 20 จังหวัดกระจายไปในภาคต่างๆ ซึ่งจะต้องดำเนินการตลอดระยะเวลา 12 เดือน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย
กิตติพันธ์ กันจินะ
ประมาณวันที่ 14 เมษายน 2551 นี้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550  ก็จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หลังจากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวและได้มีประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2551ส่งผลให้ต้องมีการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกลุ่ม องค์กร เยาวชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ อย่างขะมักเขม้นอย่างไรก็ตามสำหรับเจตนารมณ์แล้ว กฎหมายฉบับดังกล่าวมีขึ้นมาเพื่อให้เกิดกลไกการสนับสนุนการมีส่วนร่วมและพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมทั้งภาครัฐและเอกชน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ผมได้แรงบันดาลจากการเขียนเรื่องนี้จากภาพยนตร์เรื่อง “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” หนังใหม่ ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านๆ ว่ากันด้วยเรื่องของเนื้อหาในหนังนั้น ผมก็ยังไม่ได้ไปชม เพียงแต่ดูเนื้อในจากเว็บไซต์ก็พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่าภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องราวของวัยรุ่น 4 วัยในความรัก 4 มุม ทั้ง รักที่ต้องแย่งกัน รักนักร้องดาราคนโปรด รักนอกใจ และรักข้างเดียว ....อืม เอาเป็นว่า ใครอยากรู้เรื่องมากขึ้นลองเข้าเว็บไซต์ www.pidtermyai.com  ดูแล้วกันนะครับในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำเสนอชีวิตที่เกิดขึ้นของวัยรุ่นจำนวนหนึ่งในช่วงปิดเทอมใหญ่ ซึ่งบางคนก็ใช้เวลาไปแข่งกันขอเบอร์ผู้หญิง…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ใครจะไปรู้ว่าเทคโนโลยีบางอย่างจะทำให้เราไม่พลาดการสื่อสารที่สำคัญได้จริงๆ เรื่องเกิดเมื่อวันหนึ่ง, ขณะที่ผมกำลังออนไลน์โปรแกรมแชทยอดนิยมนั้น พี่ต้าร์ (วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ แห่งกลุ่ม Y-ACT) ก็ได้เข้าโปรแกรมออนไลน์ MSN จากในค่ายแห่งหนึ่ง ณ สวนแสนปาล์ม นครปฐม ซึ่งเป็นการอบรมนักศึกษาอาชีวศึกษากว่า 30 สถาบัน  “อยากดูป่ะ” พี่ต้าร์ถามและได้เปิดโปรแกรมวิดีโอออนไลน์ขึ้นมาผมตอบว่าอยาก – สักพัก ภาพเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ พี่ๆ ได้ปรากฏออกมา และมีภาพของเพื่อนๆ เยาวชนที่เข้าร่วมค่ายกำลังทำกิจกรรมอย่างสนุกสนานผมถามพี่ต้าร์ว่ามาทำอะไรกัน?พี่ต้าร์ บอกว่า “วันนี้น้องอาชีวะกว่า สามสิบสถาบัน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ในที่สุดนายกทักษิณ ก็ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน หลังจากที่ต้องเร่ร่อนรอนแรมอยู่ต่างประเทศตั้งปีกว่า กลับมาหนนี้ถือว่าได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองในคดีต่างๆ ที่ตกเป็นจำเลย และยังได้กลับมาอยู่ใกล้ครอบครัวของตนเสียด้วย ยังไม่นับรวมถึงการที่จะต้องเข้ามาเคลียร์เรื่องอะไรอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นภายในพรรคและการเมืองที่ยังไม่ค่อยลงตัวสักเท่าใดนัก  ผมดูการกลับมาของคุณทักษิณ แล้วนึกถึงชีวิตของเด็กๆ ที่เร่ร่อนไร้บ้านอีกหลายคน ที่ต่างก็พเนจรไปในที่ต่างๆ ไม่ได้กลับบ้าน หรือบ้างก็ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ซึ่งชะตากรรมของเขาหลายๆ คน ถือว่า "หนัก" กว่าคุณทักษิณหลายเท่า…
กิตติพันธ์ กันจินะ
  หลังจากที่โครงการเยาวชนไทยไม่ทอดทิ้งสังคม หรือ โครงการเยาวชน1000ทาง 1 ได้ดำเนินการมาจนจบวาระหนึ่งปีก็ถือว่าเรียนจบครบเทอมพอดี เพื่อนๆ พี่ๆ ทีมงานหลายคนต่างได้รับความรู้และประสบการณ์ในการทำงานเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากยิ่งขึ้น แม้ว่าโครงการเยาวชน1000ทาง จะเกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายเยาวชนที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาหลายปี แต่สำหรับประเทศไทยนั้นนับว่ามีโครงการที่สนับสนุนกิจกรรมของเยาวชน "มือใหม่" ไม่มากนัก ฉะนั้นโครงการเยาวชน1000ทาง ถือว่าเป็นโครงการที่ภาครัฐสนับสนุนให้เกิดการทำงานโดยเยาวชนดำเนินการ มีผู้ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นที่ปรึกษาการทำงาน…