มาริยา มหาประลัย
1
“ขอโดลเช่ เดอ ลาเช่ ขนาดกลางแก้วหนึ่งค่ะ เพิ่มกาแฟอีกชอตและะ No whip cream ค่ะ อ้อ! ขอแบบไลท์ด้วยนะคะ Low Calories ด้วย ขอบคุณค่ะ”
เฮือก! โล่งอก! ฉันพูดประโยคยาวยืดนี่จบซะที! จะมีใครรู้ไหมนะว่าฉันต้องฝึกพูดคำว่า “โดลเช่ เดอ ลาเช่” มาตั้งกี่ครั้งกว่าจะมาเสนอหน้าสั่งกาแฟชื่อประหลาดอย่างคล่องปากนี่ได้ แต่คริๆ...คงไม่มีใครรู้หรอก เพราะฉันวางมาดดีไม่มีหลุดราวกับเรียนการแสดงจากครูแอ๋วมาเสียขนาดนี้ ใครๆก็ดูแต่เปลือกกันทั้งนั้นแหละเธอ! เอาล่ะ สะบัดบ๊อบไปนั่งรอกาแฟได้แล้วย่ะยัยมาริยา อ๊ายส์! จ่ายเงินก่อนสิยะเธอ!!
ฉันใช้ริมฝีปากที่ทาลิปสติค Christian Dior อย่างบรรจง ค่อยๆ ดูดกาแฟ Starbucks ราคาเฉียดสองร้อยบาททุกหยาดหยดในมืออย่างเนิบช้า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่ต้องกำซาบรสชาติกาแฟแถมยังต้องประคองจริตในเวลาเดียวกัน
“ต๊าย! เริ่ด! นี่มันคือการจุมพิตกันระหว่างสองแบรนด์ดังระดับโลกจากปาริเซียงและซีแอตเทิลเชียวนะเนี่ย!” ฉันรำพึงในใจอย่างหมั่นไส้ตัวเอง ชิ!
หลังจากอุดอู้อยู่ในบ้านมาหลายวัน วันนี้ฉันนึกทำเก๋อยากออกมาลัลล้านอกบ้านบ้าง แต่นอกจากบ้านและที่ทำงานแล้ว จะมีอีกสักกี่ที่กันเชียวในกรุงเทพฯ ที่เราจะไปกันได้ไม่รู้จักเบื่อถ้าไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า และการดื่มกาแฟนอกบ้านก็เป็นกิจกรรมที่ฉันดัดจริตเลือกทำให้สมกับเป็น “คนเมือง” ชิ! Cool โคตรเลยกู!!
แต่เฮ้อ! สาบานได้ว่าลิ้นจระเข้อย่างฉันไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างกาแฟได้ สำหรับฉัน กาแฟอร่อยก็คือกาแฟอร่อย...แค่นั่นแหละ แล้วกาแฟ Starbucks ก็อร่อยมากและแพงมากในเวลาเดียวกัน แต่แหม...ฉันรู้สึกเริ่ดๆ เชิดๆ ชะมัดเวลาได้สั่งกาแฟชื่อยาวๆ เรียกยากๆ อย่าง “โดลเช่ เดอ ลาเช่” ฟังดูเก๋ไก๋และแสดงทักษะการพูดขั้นสูงกว่าคำว่า “มอคค่าปั่น” อยู่เห็นๆ เท่สมกับที่วันนี้ฉันดื่มกาแฟแก้วเดียวแพงกว่ากินข้าวสามมื้อรวมกันเสียอีก!
“ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์...” ฉันท่องคาถากล่อมประสาทไว้ โฆษณาทั้งหลายก็กรอกสมองเราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่า เราจะเหนือว่าคนอื่นได้ก็ด้วย “ไลฟ์สไตล์” เวลาออกเสียงตัว “L” ต้องเอาลิ้นแตะเพดานปากด้วยนะคะ ไม่งั้นจะกลายเป็น “ไล้-สะ-ตาย”...อ๊ายส์! เสร่อค่ะ ไร้สไตล์กันพอดี!
2
ระหว่างที่เดินแรดลัลล้าไปมาอยู่ในห้างหรูนั้น พลันฉันก็สังเกตเห็นว่า ผู้คนรอบตัวของฉันล้วนดูดีมีระดับราวกับหลุดมาจากโฆษณาในนิตยสารชั้นนำ เสียงรองเท้าส้นเข็มคู่แล้วคู่เล่ากระทบพื้นหินอ่อนสีขาวเป็นเงา โอ้ว! นั่น Jimmy Choo! นั่น Gucci! นั่น Manolo Blahnik! และนั่นอิมพอร์ตจากประตูน้ำ! ท่วงท่าของแต่ละนางนายดูมาดมั่นราวกับกำลังเดินบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ที่มิลาน ต่างกันตรงที่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่นางแบบต้องทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลา อันนี้ไม่รู้ทำไม แต่ละคนถือเดินเข้าร้านนี้ออกร้านนั้นหอบถุงชอปปิ้งพะรุงพะรังแต่มาดยังสวยอยู่ตลอดเวลา เครดิตการ์ดใบแล้วใบเล่ารูดปรื๊ดรูดปรื๊ดสลับกันไม่เว้นสักนาที
ถ้าความคิดมีเสียงได้ ฉันอาจได้ยินเสียงลิ้นแตะเพดานปากออกเสียงตัว “L” เป็นระวิง ในคาถากล่อมประสาท “ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์...” อยู่ก็ได้!
“ชิ! ใครว่าคนไทยจนวะ!” ฉันแอบสบถอยู่ในใจ
ถ้าทุนนิยมนับถือเงินเป็นพระเจ้า และการบริโภคคือวิถีปฏิบัติเพื่อให้ลัทธินี้อยู่ยั้งยืนยงคงกระพัน กรุงเทพฯ ของฉันก็นับเป็นเมืองที่มีเทวสถานในนามว่า “ห้างสรรพสินค้า” อยู่อย่างมากมาย (เอาแค่ว่าลงรถไฟฟ้าที่สยาม คุณก็ไปได้ไม่รู้ตั้งกี่ห้าง) และแน่นอนว่ามีผู้เข้าลัทธิที่ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดอยู่ล้นหลาม
เมื่อเช้าน้ำมันเพิ่งขึ้นพรวดรวดเดียว 80 สตางค์ และมีทีท่าว่าจะพุ่งปรี๊ดไม่มีหยุด บางประเทศกำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนอาหาร ราคาข้าวแพงเป็นประวัติการณ์ มีแนวโน้มว่าหากรัฐบาลพม่าไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุนาร์กริส จะมีชาวพม่าล้มตายเกือบครึ่งล้าน! ไหนจะแผ่นดินไหวที่จีนอีกเล่า มีคนตายและสูญหายตั้งเท่าไร คนที่นั่นจะใช้ชีวิตกันอย่างไร และหากใครได้รับรู้ถึงอันตรายจากภาวะโลกร้อนคงรู้ว่า อีก 10 ปีข้างหน้าเราอาจจะไม่มีอะไรเหลือแม้แต่ชีวิตของเราเอง!
ราวกับอยู่กันคนละโลก โลกที่ฉันเห็นในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าช่างโหดร้าย ดู “เป็นจริง” เหลือเกิน ในขณะที่โลกในห้างหรูแห่งนี้ดูงดงามเฉิดฉายและรุ่มรวยความสุข โลกทั้งสองดูต่างกันมากราวกับว่าหากเปิดประตูห้างออกไปคงมีแต่เสียงร่ำไห้โหยหาลมหายใจของผู้คนที่เดือดร้อน เสียงสบถด่าของผู้คนที่แตกแยก แต่แวบเข้ามาในเขตห้างเมื่อไรจะได้ยินแต่เสียงรองเท้าส้นเข็ม เพลง Chill Out จากอัลบั้ม Pink Martini เสียงหัวเราะฮิฮะคิกคักของผู้คนที่ดูงดงามแต่ดูเหมือนกันไปหมดจนขาดอัตลักษณ์ และแน่นอน...เสียงเอาลิ้นแตะเพดานปาก “ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์...”
อ๊ายส์!!! นี่เราอยู่บนโลกใบเดียวกันแน่ชิมิเคอะ!
3
มีคำกล่าวว่า “เวลาเรารู้สึกแย่ให้มองลงไปที่คนที่แย่กว่าเราแล้วจะสบายใจ” ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่า ต่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายแค่ไหน เราก็ยังมีคำปลอบประโลมให้ตัวเองอยู่เสมอว่า ยังมีคนที่แย่กว่าฉันอีก ว่าแล้วก็เชิดหน้าสะบัดบ๊อบกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิม น้ำมันแพงเรอะ เอาวะ! ดีกว่าคนพม่าโดนพายุถล่ม, ต๊าย! น้ำหนักขึ้น เอาวะ! ดีกว่าเด็กซูดานที่ไม่มีอะไรกิน แต่เห็นทีฉันไปหาอะไรที่ Low-Carb ทานหน่อยดีกว่า ฯลฯ เรารู้ว่าเมื่อเรารู้สึกแย่เราจะ “มองลง” ไปหาใครได้บ้าง แต่แล้วคนที่อยู่ ณ ฐานล่างสุดของพีระมิดเล่าจะมองไปที่ไหนได้อีก!
ปัญหาของคนอื่นดูใหญ่และยากกว่าเราเสมอ และการมองปัญหาว่า นี่ปัญหาของฉัน นั่นปัญหาของเธอ ก็ทำให้เรามองไม่ออกว่าโลกของเราเชื่อมโยงถึงกันอย่างไร เรานึกไม่ออกว่ามีพายุที่พม่าแล้วจะมีผลกระทบต่อเราที่กำลังเดินอยู่ในห้างสบายใจเฉิบอย่างไร และต่อให้เรานึกออกว่าภาวะโลกร้อนอันตรายแค่ไหน แต่เราก็จินตนาการไม่ออกว่าจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแอร์ ฯลฯ
ปฏิกิริยาของผู้คนก็คงเหมือนอย่างประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง Hotel Rwanda ที่ว่า “พวกเขาก็จะดูภาพพวกนี้ในทีวีแล้วพูดว่า ‘พระเจ้า! นั่นมันโหดร้ายเหลือเกิน’ แล้วก้มลงกินอาหารค่ำต่อไป...”
4
โดลเช่ เดอ ลาเช่ ของฉันหมดไปตั้งนานโขแล้ว ฉันนึกอยากกลับบ้านไปกินอะไรที่มันอิ่มท้องมากกว่าเสียที แต่ให้ตายสิ! ฝนดันมาตกเสียนี่ เสียงบ่นพึมพำของคนแปลกหน้าใกล้ๆ ตัวทำให้ฉันรู้ว่าฝนตกหนักมาเป็นชั่วโมงๆ แล้ว
ตราบเท่าที่เราใช้ไลฟ์สไตล์อยู่ใต้ร่มเงาอันแสนสบายของโลกในห้างนี้ เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าโลกข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ฝนจะตก แดดจะออก มีอะไรเกิดขึ้นข้างนอกบ้าง เวลาไม่เคยสำคัญสำหรับโลกในห้างนี้ ฉันไม่เคยเห็นห้างไหนมีนาฬิกาไว้ประจานเวลา ไม่แปลกหรอกที่บางครั้งเราจะเผลอปรนเปรอไลฟ์สไตล์ของเราในห้างจนหมดวันอย่างไม่ทันรู้ตัว แหม...ปล่อยให้คนเดินนานๆเข้าเดี๋ยวก็เสียตังค์เพิ่มเองแหละน่า!
“อย่าออกไปเลย เดี๋ยวเปียก อยู่ในห้างนี้แหละ สบายกว่ากันเยอะ เดี๋ยวไปหาเค้กกินแก้เซ็งกันดีกว่านะเธอ” ว่าแล้วกลุ่มเพื่อนสาวก็เดินหัวเราะฮิฮะสะบัดบ๊อบจากไป
ใช่... “อย่าออกไปเลย อยู่ในห้างสบายกว่าเยอะ” ชิมิเคอะคุณ!!!