วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว แล้วลัทธิพันธมิตรนำมาขยายความเพิ่มเติม ดัดแปลง ให้ความหมายใหม่
วาทกรรมไม่ใช่ความจริงแต่เป็นกระบวนการสร้างความจริง เป็นกระบวนการที่ทำให้ความเท็จกลายเป็นเรื่องน่าเชื่อถือ และมีน้ำหนักกระทั่งกลายเป็นความจริงที่ยอมรับกันโดยทั่วไป จะว่าไปแล้ว สถาบันและองค์กรในกระบวนการยุติธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ มากไปกว่านั้นเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสถาปนาความจริง เช่น คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ใช่แค่ความคิดเห็นแต่ได้กลายเป็นความจริงที่ยุติ
วาทกรรมที่มุ่งทำลายฝ่ายตรงข้าม เช่น "จ๊อกกี้" "ระบอบทักษิณ" "ผลประโยชน์ทับซ้อน" "ไอ้หน้าเหลี่ยม" "ขายชาติ" "ทหารของพระราชา" "แทรกแซงสื่อ" "หมิ่นเบื้องสูง" "เผด็จการรัฐสภา" "รัฐบาลสัตว์นรก" "รัฐบาลหุ่นเชิด" "นอมินี" "ชาติล่มจมแล้ว" "สงครามครั้งสุดท้าย"ตลอดจนบทเพลงแปลง เพลงแต่ง บทกวีจำนวนมาก ภาพวาด โลโก้ ฯลฯ
วาทกรรม "จ๊อกกี้" นั้นมาจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้ง โดยหมายถึงรัฐบาลของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้อยู่ยั่งยืนและมีความสำคัญอะไรมากนัก วาทกรรมนี้นับเป็นการแสดงออกถึงทัศนคติที่ชัดเจนของประธานองคมนตรีต่อรัฐบาลทักษิณและได้รับการขยายต่ออย่างกว้างขวาง
วาทกรรม "ขายชาติ" วาทกรรมนี้ใช้มาตลอดในประวัติศาสตร์ของการกล่าวหาทางการเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครสามารถนำ "ชาติ" ไปขายได้เพราะ "ชาติ" เป็นเพียงจินตนาการทางการเมืองเท่านั้น ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่ชอบกล่าวหาผู้อื่นด้วยคำว่า "ขายชาติ" นั้นมักจะเป็นโจร
วาทกรรม "แทรกแซงสื่อ" คำนี้ได้ยินกันบ่อย เป็นคาถามหานิยมในการป้องกันตัวของบรรดาสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม การที่ลัทธิพันธมิตร บุกยึด NBT ตลอดจนการข่มขู่นักข่าวของนักรบศรีวิชัยนั้นไปไกลกว่าการแทรกแซงสื่อหลายเท่า
วาทกรรม "ระบอบทักษิณ" ทักษิณไม่ใช่ระบบระบอบหรือนามธรรมที่ลอยอยู่ในอากาศ แต่เป็นตัวบุคคลที่รู้ร้อนรู้หนาวและจับต้องได้ ดังนั้น "ระบอบทักษิณ" จึงไม่มีอยู่จริง จับต้องไม่ได้ อาจกล่าวได้ว่า วาทกรรม "ระบอบทักษิณ" เป็นวาทกรรมที่งี่เง่าและไร้ความรับผิดชอบของนักวิชาการผู้ชอบประดิษฐ์อะไรเรื่อยเปื่อย
วาทกรรม "รัฐบาลสัตว์นรก" ถ้ารัฐบาลเป็นสัตว์นรก ลัทธินอกรีตอย่างพันธมิตรก็คงไม่ดีไปกว่ากัน ไม่มีลักษณะใด ๆ เลยที่บ่งบอกว่าลัทธินอกรีตอย่างพันธมิตรนั้นดีไปกว่าสัตว์นรกหรือดีไปกว่ากลุ่มคนที่กล่าวหา อันที่จริงโจรด่าโจรคงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมากนัก
วาทกรรมต่าง ๆ ที่ลัทธิพันธมิตร ผลิตและนำมาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยมากแล้วเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล
วาทกรรมที่มุ่งยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" "สันติวิธี" "อารยะขัดขืน" "ชุมนุมอย่างสงบ" "ยามเฝ้าแผ่นดิน" "สื่อแท้" "กู้ชาติ" "การเมืองใหม่" "เราจะสู้เพื่อในหลวง" "ผ้าพันคอสีฟ้า" "พันธมิตรเด็ก" "มหาวิทยาลัยราชดำเนิน" "สาธิตมัฆวาน" "ประชาภิวัฒน์" ฯลฯ
ลัทธิพันธมิตรพยายามทำให้วาทกรรมว่าด้วยความถูกต้องดีงามของตนเองกลายเป็นเรื่องจริง แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ผ่านมาทำให้เราได้เห็นกันแล้วว่าวาทกรรมด้านนี้ของลัทธิพันธมิตรหลายประการเป็นเรื่องเท็จ
แค่ชื่อลัทธิ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" นั้นเป็นอะไรที่กลืนไม่ลงแล้ว ชื่อเรียกกับการกระทำนั้นไปคนละทาง เหมือนเรียกโจรว่าพระ
วาทกรรม "การชุมนุมโดยสงบ" ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการชุมนุมของลัทธิพันธมิตรทำให้คนจำนวนมากเดือดร้อนและจงใจทำให้เกิดความไม่สงบ การรุมทุบตีคนจนตาย การครอบครองยาเสพติด การขายอุปกรณ์เสพยาเสพติดอย่างเปิดเผย ตลอดจนอาวุธจำนวนมากที่ชาวพันธมิตรมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่บอกชัดอยู่แล้วว่าการชุมนุมของพันธมิตรสงบหรือไม่
วาทกรรม "อารยะขัดขืน" ผมเคยเสนอไปแล้วว่าเราควรจะเรียกว่า "อารยะข่มขืน" ดีกว่าหรือจะเรียกว่า "อนารยะขัดขืน" ก็ได้ เพราะไม่มีอะไรเลยที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ กล้าทำกล้ารับ หรือความมีอารยะของพันธมิตร
วาทกรรม "ผ้าพันคอสีฟ้า" แกนนำของลัทธิพันธมิตรต่อสู้โดยพยายาม "เอาหลังพิงวัง" ซึ่งไม่ใช่แนวทางการต่อสู้ที่ยุติธรรม แต่แสดงให้เห็นถึงความไร้น้ำยาของลัทธิพันธมิตรเองที่พยายามเอาใครต่อใครเข้ามาเกี่ยว
วาทกรรม "กู้ชาติ" ว่าที่จริง "ชาติ" ไม่ได้อัญเชิญให้ลัทธิพันธมิตรมาช่วยกู้ ดังที่กล่าวแล้วว่า "ชาติ" เป็นแค่จินตนาการเท่านั้น ไม่ต้องไปกู้ให้เสียเวลา คงจะได้อะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่าหากเปลี่ยนจากกู้ชาติเป็น "กู้แบ๊งค์"
การข่มขู่กรรโชกโดยอันธพาลลัทธิพันธมิตรใกล้ถึงจุดอิ่มตัว การขังตัวเองอยู่ในทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ความชอบธรรมลดลง แนวร่วมหดหาย ผู้คนเบื่อหน่าย แกนนำเพี้ยนหนัก ไม่ช้าไม่นานสังคมไทยจะได้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าพันธมิตรนั้น นอกจากไร้ประโยชน์แล้วยังทำให้สังคมเสียหายอีกด้วย.