Skip to main content
 

ผมชอบดูและเล่นฟุตบอลแม้ว่าจะเล่นไม่ดีเลยก็ตาม  มันเป็นความบันเทิงและกีฬาที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนเข้าฟิตเนส  แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมไม่เคยชอบดูฟุตบอลไทยเลย อาจจะเปิดโทรทัศน์ไปเจอโดยบังเอิญ หยุดดูสักครึ่งนาที พอได้ยินเสียงพากย์ของนักพากย์กีฬาช่อง 7 ซึ่งไม่พากย์ไปตามเกมกีฬา หากแต่จ้องจะเข้าข้างทีมไทยท่าเดียวทำให้เสียอารมณ์จนต้องรีบเปลี่ยนช่อง

ยิ่งเมื่อได้เห็นภาพข่าวนักฟุตบอลไทย แสดงอาการกักขฬะมีเรื่องวิวาทกับนักเตะต่างชาติอยู่บ่อย ๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกสมน้ำหน้า รู้สึกสมน้ำหน้ามากขึ้นเมื่อนักพากย์กีฬา สื่อมวลชนไทยหรือผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงกีฬาช่วยกันปกป้องนักเตะของตัวเอง อันนำไปสู่การกระทำน่าละอายแบบเดิม ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า มันยิ่งช่วยตอกย้ำ อคติ ความเชื่อเกี่ยวกับฟุตบอลไทยกระทั่งอะไรที่เป็นแบบไทย ๆ ของผมเองให้หนักแน่นขึ้น

นอกจากไม่พิศมัยการดูฟุตบอลไทยแล้ว มากไปกว่านั้น  ทุกครั้งเลยก็ว่าได้ผมยังเชียร์ให้ทีมฟุตบอลคู่แข่งเอาชนะทีมไทยด้วยซ้ำไป ผมต้องการให้ทีมไทยแพ้ ผมจะรู้สึกดีมากเมื่อเห็นบรรดาคนที่เชียร์ทีมไทยแสดงอาการผิดหวัง

ผมมาพิเคราะห์ตนเองว่าเหตุใดจึงรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับทีมฟุตบอลไทย ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้เล่นหรือเปลี่ยนโค้ชไปกี่คนก็ตาม แน่นอนอคติส่วนตนที่เปลี่ยนแปลงได้ยากนั้นมีส่วน แต่คำอธิบายที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกนิดก็คือ ผมไม่ใคร่จะรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นไทยหรือความเป็นชาติมากนัก  เวลาได้ยินเพลงชาติก็ไม่อยากยืนตรง รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้รักชาติทั้งที่ใจไม่ได้รักจึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านไปโดยปริยาย

เหตุที่ไม่ใคร่ภาคภูมิใจในความเป็นชาติ หรือความเป็นไทยก็เพราะรู้สึกว่าชาติไทยไม่ใช่ของผม ไม่รู้สึกมีส่วนร่วมในความรักชาติ หากแต่
"ชาติ" เป็นของกองทัพที่นายทหารระดับสูงแสดงออกถึงความรักชาติด้วยการยึดอำนาจอยู่บ่อย ๆ  สังเกตดูนะครับว่า หากนายทหารเกิดความรักชาติมากจนถึงระดับสูงสุดเมื่อไหร่ นายทหารก็จะออกมาทำรัฐประหารโดยไม่ต้องปรึกษาผมหรือคนแบบผมที่มีอยู่จำนวนมาก  ก็แล้วทำไมต้องปรึกษาคนธรรมดา ๆ ด้วยล่ะ ในเมื่อคนธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของชาติ

การทำรัฐประหารเป็นมาตรวัดระดับความรักชาติของทหาร  ในนามของความรักชาติสามารถจะทำอะไรก็ได้แม้แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือฉีกรัฐธรรมนูญ รักชาติมากเท่าไหร่ก็ยิ่งย่ำยีต่อชาติมากเท่านั้น คนที่กระทำย่ำยีชาติส่วนใหญ่ก็อ้างว่าเป็นคนรักชาติทั้งนั้น ปากรักชาติในขณะที่เท้าเหยียบย่ำ

ในสมัยที่นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชน หลายคนคงตกอกตกใจกับการแสดงความรักชาติของนายทหาร 3 เหล่าทัพ ที่พากันออกโทรทัศน์ตีสีหน้าซึ้งเศร้าแล้วบอกให้นายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชนลาออก นายทหารสามารถบอกให้นายกรัฐมนตรีลาออกได้ก็เพราะความรักชาติของนายทหารยิ่งใหญ่สูงส่งบริสุทธิ์กว่าความรักชาติของนักการเมืองและของนายกรัฐมนตรี

ดังนั้นเมื่อนักการเมืองหรือนายกรัฐมนตรีสั่งให้ทหารจัดการกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรที่ยึดสนามบิน  นายทหารสามารถทำเป็นหูทวนลม เพิกเฉยต่อคำสั่งของนักการเมืองได้แม้ว่าโดยตำแหน่งแล้วจะเป็นหัวหน้าก็ตาม

ความรักชาติที่มากมายมหาศาลทำให้นายทหารสถาปนาตนเองเป็นเจ้าของประเทศไปโดยปริยาย

นอกจากกองทัพแล้ว ชาตินี้ก็เป็นของคนดีมีศีลธรรมซึ่งโดยมากแล้ว ความดีและศีลธรรมมักจะมีอยู่ในตัวของข้าราชการระดับสูงมากกว่าชาวบ้านโดยทั่วไป อย่างเช่น คนดีมีศีลธรรมและสปิริตสูงเยี่ยมแบบนาย จรัล ภักดีธนากุล
  ผู้ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญโดยสามารถเอาตัวรอดในเรื่องคุณสมบัติตามเงื่อนไขข้อกฎหมาย ด้วยการบอกว่าการไปสอนพิเศษและรับตังค์ตามมหาวิทยาลัยของตนนั้นไม่ถือว่าเป็นลูกจ้าง

คนดีแบบนายจรัล  ภักดีธนากุล นั้นมีอยู่ไม่น้อยในสังคมไทย แต่โดยเปรียบเทียบแล้วกล่าวได้ว่าเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ เพราะคนเหล่านี้มีความรักชาติในหัวใจเต็มล้น ดังนั้นจึงอ้างจริยธรรม ศีลธรรมไม่ขาดปาก ใครที่ติดตามข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์อยู่บ้างคงพบได้ไม่ยากว่าเวลานายจรัล ภักดีธนากุล ให้สัมภาษณ์สื่อ คำพูดที่หลุดปากออกมาบ่อย ๆ ก็คือคุณธรรม จริยธรรม

มันทำให้ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่านอกจากนายทหารแล้ว กลุ่มคนที่จะรักชาติได้ต้องเป็นกลุ่มคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมและเป็นคุณธรรม จริยธรรมแบบเดียวกับนายจรัล ภักดีธนากุล เท่านั้น

อีกประการหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึก
"เอียน" ในเรื่องของความรักชาติก็คือ  การโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับความเลอเลิศประเสริฐศรีของชาติไทยจนเกินเหตุ ด้วยข้อความประเภทที่ว่า "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก"

โฆษณาชวนเชื่อเรื่องความรักชาตินี้ไม่จำเป็นจะต้องมาจากหน่วยงานราชการเท่านั้น พวกพ่อค้าและคนชั้นกลางก็ชอบที่จะโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับชาติไทยด้วยเช่นกัน

ทั้งสองประการ คือข้อสรุปเบื้องต้นสำหรับการไม่ชอบดูและเชียร์ฟุตบอลไทยของผม บางคนก็เลยเอ่ยปากไล่ให้ผมลาออกจากการเป็นคนไทย
"ไม่รักชาติไทย ก็อย่ามาเป็นคนไทย" ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของพวกหัวล้าหลังที่บอกนักการเมืองพรรคพลังประชาชนว่า "ในเมื่อรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ดีแล้วลงเลือกตั้งทำไม"

ชาตินี้ไม่ได้เป็นของประชาชน แต่เป็นของคนบางกลุ่ม บางประเภท ใครอยากจะอ้างว่ารักชาติก็อ้างไป แต่ผมไม่รักด้วยหรอก.

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
-1-พรรคประชาธิปัตย์หาเสียงเพื่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง โดยชูคำขวัญที่ฟังดูดัดจริตและกินไม่ได้ว่า “ประชาชนต้องมาก่อน”ผมได้ยินหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปล่งคำนี้ออกมาแล้วก็ให้นึกสงสัยว่าจะมีใครซักกี่คนในโลกนี้เชื่อในสิ่งที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ พูดออกมาพรรคประชาธิปัตย์ฉวยโอกาส เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น ๆ ตามสไตล์ถนัดด้วยการโฆษณาหาเสียงก่อนใครเพื่อน  ในขณะที่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคพลังประชาชนนั้นต้องเจอกับอำนาจชั่วที่คอยการสกัดกั้นทุกรูปแบบ-2-ต้องรอดูกันต่อไปว่า พรรคพลังประชาชนจะฝ่าต้านแรงสกัดจากอำนาจชั่วได้มากน้อยแค่ไหน…
เมธัส บัวชุม
อันที่จริง ผมตั้งใจจะหยุดเขียนบทความการเมืองสักระยะด้วยรู้สึกระอากับความวิปริตทางปัญญาของสังคมไทย ผมยังรู้สึกหลอนไม่หายกับการยึดอำนาจของทหารท่ามกลางความดีอกดีใจของพวก “ทาสที่ปล่อยไม่ไป” และพวกที่กลุ้มรุมทึ้งแย่งผลประโยชน์ “แห่งชาติ” ที่ไม่ได้ “เหลือแต่กระดูก” หลังการจากไปของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรกลุ่มคนเหล่านี้ที่เข้ามายึดกุมอำนาจหลังรัฐประหาร ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการสร้างประชาธิปไตยหรือปฏิรูปการเมือง  รัฐบาลเถื่อนของนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ กับ คมช. คตส. กกต. ที่ผ่านมาได้ทำอะไรบ้างที่เป็นสร้างเสริมประชาธิปไตย หรือปฏิรูปการเมืองไปสู่ครรลองประชาธิปไตยนอกจากสมคบคิดกันกวาดล้างกลุ่ม…
เมธัส บัวชุม
นิตยสาร “ราหูอมจันทร์” เกิดขึ้นท่ามกลางความซบเซาทั้งทางด้านการเขียน การอ่านและการวิจารณ์ของแวดวงเรื่องสั้นไทย ราหูอมจันทร์ เป็นนิตยสารรายครึ่งปีหรือที่ทางผู้จัดทำเรียกว่ารายฤดูกาล เป็นการคัดสรรเรื่องสั้นที่มีผู้ส่งไปจากทั่วสารทิศเพื่อรวมพิมพ์เป็นเล่มบรรดาคอเรื่องสั้น ต่างวาดหวังว่าการมาถึงของราหูอมจันทร์อาจช่วยให้วงการคึกคักขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย   อย่างไรก็ตาม เมื่อได้อ่านแล้ว ต้องกล่าวตามตรงว่าราหูอมจันทร์ Vol. 3 “วันปลดปล่อยผีเสื้อ” นั้นมีระดับคุณภาพที่น่าผิดหวังไม่น้อย ทางผู้จัดทำนิตยสารนี้คือกองทุน “กนกพงศ์  สงสมพันธุ์” ก็ยอมรับว่า“ราหูอมจันทร์ Vol. 3…