31 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงานความจริงวันนี้ สร้างปรากฏการณ์ "แดงทั้งแผ่นดิน- Red in The Land" ที่ท้องสนามหลวงด้วยประชาชนหลายหมื่น คนรวยคนจน นักวิชาการหัวก้าวหน้า นักปฏิวัติ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่ามากันพร้อมหน้า บรรยากาศฮึกเหิมคึกคัก ส่งสัญญาณความไม่พอใจที่ล้นอกไปยังเหล่าศักดินา เขย่าขวัญพวกอมาตยาธิปไตยให้หยุดสำเหนียกให้มากก่อนจะกระทำการใด
อันที่จริงการสำแดงพลังที่รัชมังคลาภิเษกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.51 ที่ประชาชนเข้าร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งนั้นน่าพรั่นพรึงและเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าชาว “แดง” พร้อมชนกับซากเดนของระบอบศักดินาเพียงขอให้มีเงื่อนไขที่เอื้อหรือสถานการณ์สุกงอมพอเท่านั้น คุณนวมทอง ไพรวัลย์และอีกหลายคนเป็นตัวอย่าง
แรก ๆ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ของชาว “แดง” จะชูอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นศูนย์กลางสัญลักษณ์และเป้าหมายของการเรียกร้อง แต่เมื่อแนวร่วมฝ่าย “แดง” มีความหลากหลายมากขึ้นและยกระดับขึ้นไปสู่ระดับอุดมการณ์ เรื่องของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็กลายเป็นเรื่องรอง แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรยังผวากับผีทักษิณอยู่มากก็ตาม
ที่ว่าเป็นเรื่องรองเพราะว่าหากฝ่าย “แดง” สามารถทำให้ประชาธิปไตยงอกงามเบ่งบานกว่าที่เป็นอยู่ ตาสีตาสาไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องคอยค้อมหัวก้มกราบเทวดา สถาบันทางการเมืองเป็นอิสระและปลอดพ้นจากการถูกครอบงำโดยกองทัพ ศาล ฯลฯ ที่จุ้นไม่เข้าเรื่อง ความยุติธรรมจะกลับคืนสู่แก่อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตรและชาวประชาอื่น ๆ ไปโดยปริยาย
เรื่องราวของอดีตนายก ฯ เป็นเพียงชนวนที่จะขยายไปสู่ประเด็นที่ใหญ่กว่าซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ดำรงอยู่มาโดยตลอดของการเมืองไทย นั่นคือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่สมบูรณ์กับฝ่ายที่เห็นว่าประชาธิปไตยบั่นทอนอำนาจที่เคยมีมา และพยายามรักษาอำนาจของตัวไว้ให้ถึงที่สุด ความขัดแย้งนี้สามารถสืบย้อนไปได้ถึงปี 2475
โศกนาฎกรรมและความเป็นไปของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเหมือนอารัมภบทที่จะนำท่านเข้าสู่เนื้อหาที่แท้จริง...
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ตัวละครที่หลบอยู่หลังฉากได้เปิดตัวต่อสาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง การต่อสู้หนนี้ไม่มีการประนีประนอมกันอีกต่อไป...
ห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งแหลมคม น่าสังเกตว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เป็นที่รู้กันว่านี่คืออาวุธในการบั่นทอนพลังของฝ่าย “แดง” แต่หารู้ไม่ว่าการสกัดกั้นด้วยวิธีล้าสมัยแบบนี้จะยิ่งสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับการเคลื่อนไหวของฝ่าย “แดง” มากยิ่งขึ้น
มันกลับไปกระตุ้นต่อมความโมโหเกลียดชังที่คุคั่งสั่งสมอยู่ในอกของชาว “แดง” ที่ดำรงอยู่มานานหลายปี
อันเนื่องมาจากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่นานมานี้หลายคนคงได้เห็นการโต้กลับอันร้อนแรงของชาว “แดง” ที่ออกมาในนาม “แถลงการณ์สยามแดง” ของอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ นักต่อสู้หัวก้าวหน้า คนที่ได้อ่านคงอุทานด้วยความหวาดเสียวกับถ้อยแถลงที่ตรงไปตรงมา ความตอนหนึ่งว่า
“ชนชั้นปกครองดูใหญ่โต เข้มแข็ง เมื่อเรายังคลานอยู่กับพื้น แต่พอเรายืนขึ้นหูตาสว่าง เดินหน้าร่วมกับคนอื่นเราจะเห็นว่าพวกนี้อ่อนแอและน่าสมเพชแค่ไหน”
ระฆังแห่งการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างมุมแดงกับมุมตรงข้ามได้ดังขึ้นแล้ว ที่ผ่านมาในช่วงของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นแค่น้ำจิ้ม อาจกล่าวได้ว่าการต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อตัดเอาเรื่องของอดีตนายก ฯ ออกไป
ในสมัยหนึ่ง ชาว “แดง” สามารถสถาปนาสถาบันทางการเมืองของตนเองที่ทรงพลัง มีทิศทางเข็มมุ่งชัดเจน สร้างความหวาดกลัวลนลานให้กับเหล่าศักดินาจนอยู่ไม่เป็นสุข อย่างไรก็ตามเงื่อนปัจจัยบางประการทำให้ชาว “แดง” สลายตัวไปแต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน “แดง” ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ
ครั้งนี้ชาว “แดง” กลับมาแล้ว สมรภูมิในบริบทใหม่ได้ร้องเรียกให้ชาว “แดง” ออกมาผนึกกำลังกัน ไม่จำเป็นต้องถาม ชาวแดงรู้ดีว่ากำลังสู้อยู่กับใคร.