Skip to main content
ผมเฝ้ารอคอยดูผลสำเร็จ (หรือไม่สำเร็จ) ของนโยบาย "5 รั้ว" ซึ่งเป็นนโยบายทางด้านยาเสพติดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด ทำให้ยาเสพติดลดลงได้จริงหรือไม่

"5 รั้ว" ที่ว่าคือ รั้วชายแดน รั้วชุมชน รั้วสังคม รั้วโรงเรียน และรั้วครอบครัว ทั้ง "5 รั้ว" จะช่วยเป็นเกราะป้องกันต้านทานการทะลักเข้ามาของยาเสพติด พร้อมไปกับการปราบปรามอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม


แผนงานนโยบาย "5 รั้ว" ของพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไว้ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ  ผบ.ตร. ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ผู้แทนองค์กรศาสนา และผู้แทนภาคประชาชนเข้ารับมอบแผนปฏิบัติการดังกล่าว ตั้งเป้าว่าภายใน 3 เดือนหลังประกาศนโยบาย ยาเสพติดจะลดลง

แม้จะไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์อย่างแรง แต่ผมก็ลุ้นให้นโยบายเรื่องยาเสพติดของพวกเขาประสบผลสำเร็จ  ด้วยว่าประจักษ์กับตนเองมาแล้วว่าพิษภัยของมันนั้นร้ายแรง ส่งผลกระทบต่อตนเองและคนรอบข้างเป็นลูกโซ่  

ถ้าทำให้ยาเสพติดลดลงกระทั่งหายไป ผมคงรู้สึกดีกับพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นและอาจเปลี่ยนทัศนคติแย่ ๆ ที่มีต่อพรรคการเมืองพรรคนี้ไปเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม 3 เดือนหลังจากประกาศนโยบายก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ประชาธิปัตย์ก็คือประชาธิปัตย์

เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ "คิดได้" ในเรื่องของยาเสพติด   แต่ประชาธิปัตย์ยังคงเสมอต้นเสมอปลายคือการพูดกับการทำมักจะเป็นคนละเรื่องกันเสมอ

ยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง หาได้ง่าย ในบริเวณที่ผมอาศัยอยู่แค่เพียงกระซิบวินมอเตอร์ไซค์กลางคืนก็สามารถหามาเสพได้ง่ายดาย แพร่ขยายเข้าไปเสพไปขายกันในโรงเรียน

การระบาดหนักหน่วงของยาเสพติด นอกจากจะสะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงรากลึกที่ยากจะกำจัดของขุมข่ายยาเสพติดที่แฝงตัวอยู่ในสังคมไทย ฝังตัวเข้าไปในระบบราชการ เข้าไปในวิถีประจำวัน กลายเป็นเนื้อร้ายที่ทำลายไม่หมด

ว่าที่จริง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหายาเสพติดล้วนแล้วแต่ได้ประโยชน์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจากผลประโยชน์มหาศาลของยาเสพติด ไม่เช่นนั้นแล้ว เครือข่ายยาบ้าหรือยาเสพติดอื่น ๆ คงไม่อาจสั่งซื้อ สั่งขายจากเรือนจำอยู่ชั่วนาตาปี เจ้าหน้าที่เรือนจำจะต้องรู้เห็นเป็นใจและได้ประโยชน์จากขุมข่ายยาเสพติด       

ที่เห็นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีตัวอย่างมากมายที่จะชี้ให้เห็นว่าตำรวจนั้นหากินกับยาเสพติด ตัวอย่างง่าย ๆ ที่ผมพบด้วยตนเองคือการยึดเงินของกลางของเด็กที่ขายยาบ้าคนหนึ่งเข้ากระเป๋าตัวเองโดยหลอกให้เด็กบอกว่าเงินนั้นไม่เกี่ยวกับการขายยาบ้าแต่เป็นเงินที่แม่ให้มาสำหรับจ่ายค่าเทอม!

ดังนั้น การขุดรากถอนโคนในเรื่องยาเสพติดนอกจากจะผลักดันนโยบายดี ๆ ออกมาแล้ว คงต้องปฏิรูปการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

เมื่อเอ่ยถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ผมอยากจะขอเล่าประสบการณ์ของตนเองที่ผ่านมาไม่นานให้ฟังเพื่อระบายความอึดอัดใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เหตุเกิดแถว ๆ ปิ่นเกล้า  ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากปากซอย เพื่อจะไปทำธุระที่ธนาคารซึ่งห่างจากปากซอยไม่ถึง 50 เมตร  พอออกพ้นมาจากซอย  ผมก็จะเอ๋กับตำรวจจราจร(ผมจำหมายเลขที่หมวกของตำรวจและจำหน้าตำรวจได้แม่นยำ)  ผมไม่ได้ใส่หมวกกันน็อค ตำรวจจึงเรียกและถามหาใบขับขี่

ผมบอกว่า ใบขับขี่อยู่ที่บ้าน ส่วนหมวกกันน็อคอยู่ใต้เบาะนี่เอง ออกมาธุระใกล้ ๆ เลยไม่ได้สวม

คุณตำรวจบอกให้ผมนำมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่ฟุตบาทและดึงกุญแจมอเตอร์ไซค์ไป ตำรวจต่อว่าผมเสียงดังที่ไม่พกใบขับขี่ ชี้ให้ดูตัวอย่างผู้หญิง 2 คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นซึ่งโดนข้อหาเดียวกับผม จากนั้นเขียนใบสั่ง ให้ผมไปจ่ายเงินค่าปรับฐานไม่มีใบขับขี่ที่โรงพัก 500 บาท แล้วค่อยมาเอามอเตอร์ไซค์คืน

ผมรับใบสั่งมา คิดในใจว่านี่เป็นครั้งแรกเลยในชีวิตที่โดนใบสั่ง แล้วเดินเข้าไปทำธุระที่ธนาคารประมาณ 20 นาที ทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้กับตำรวจ เสร็จออกมาพบว่ามอเตอร์ไซค์ถูกล็อคเรียบร้อยแล้ว

ผมถามตำรวจว่ายึดกุญแจไปแล้ว ทำไมต้องล็อครถด้วย ตำรวจตะคอกผมเสียงดังกลางถนน บอกว่าผมหายไปนาน ลุกลี้ลุกลน วิ่งหนี น่าสงสัยต้องยึดมอเตอร์ไซค์ไว้ก่อน

---------------------------

ที่ผ่านมา ผมมีทัศนคติที่ดีต่อตำรวจพอสมควร เข้าใจและเห็นใจที่ต้องทำงานหนักโดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อย แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ผมมองตำรวจแตกต่างออกไปและคิดว่าตำรวจช่างน่ารังเกียจ หยาบคาย ไม่ได้รับการอบรม เห็นแก่ได้ หากินกับคนเล็กคนน้อย ไม่ต่างอะไรจากพวกมาเฟีย เป็นผู้ทำลายสันติราษฎร์

ผมเข้าใจว่ากฎหมายเกี่ยวกับหมวกกันน็อคนั้นมีไว้เพื่อต้องการให้คนมีความปลอดภัยมากขึ้นในการขับขี่ยวดยานพาหนะ การจับปรับเป็นการบังคับกลาย ๆ ให้คนต้องสวมหมวกกันน็อค แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ากฎหมายเรื่องนี้เป็นช่องทางหากินของตำรวจ

ตำรวจไม่มีมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมายเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าสามารถยัดเงินให้ 100 หรือ 200 ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปจ่ายที่โรงพักถึง 500 บาท

ตำรวจคือตัวปัญหา เป็นห่วงโซ่หนึ่งของปัญหาหลาย ๆ ปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้ ทำให้ปัญหาดำรงอยู่อย่างนั้น ทั้งปัญหายาเสพติดและที่ประสบด้วยตนเองคือการรีดไถกลางถนน พฤติกรรมของตำรวจฟ้องตัวมันเองอยู่แล้วถึงความอับจนไร้เกียรติ เป็นตัวปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน.

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
การประท้วงของกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ภายใต้การนำของ สาวิทย์ แก้วหวาน ผู้ซึ่งเป็นแกนนำสหภาพแรงงาน ฯ เป็นการประท้วงในสไตล์เดียวกับการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร นั่นคือเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นตัวประกันเพื่อให้ได้ตามความต้องการของตนเอง 
เมธัส บัวชุม
หลังจากอิดออดเพื่อรักษาท่าทีแต่พองามแล้ว “ผู้ร้าย” สองคนก็เปิดตัวเปิดใจกระโจนเข้าสู่วง ”การเมือง” เต็มตัว “ผู้ร้าย” คนแรก
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนในอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี นานมาแล้วที่ผมไม่ได้ออกไปไหน เพื่อนพาไปเที่ยวป่าและแวะที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แลดูลี้ลับ วังเวงและยากไร้
เมธัส บัวชุม
สังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่กับความโง่ มีความโง่เป็นเจ้าเรือน นับวันความโง่ยิ่งแผ่ขยายแพร่กระจายไปราวเชื้อโรค หลายคนโง่โดยสุจริต  คนเหล่านี้น่าเห็นใจ ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้  อคติ ความเกลียดชังทำให้ประสิทธิภาพในการคิดเสื่อมถอย สติปัญญาถูกบิดเบือนไป คนประเภทนี้โง่เพราะถูกอคติทำลายจนมืดบอด
เมธัส บัวชุม
  ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังรวนเรเพราะความไร้ฝีมือและความเน่าจากภายใน แทนที่จะทุ่มสมองและแรงงานเพื่อกระหนาบกระหน่ำรัฐบาลโจร คนเสื้อแดงเฉดต่าง ๆ ก็กลับใช้โอกาสนี้วิพากษ์วิจารณ์กันรุนแรงกระทั่งแตกออกเป็นสาย
เมธัส บัวชุม
ในโลกโลกาภิวัฒน์ที่มนุษย์กำลังเดินทางไปในอวกาศเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก และเตรียมหาที่อยู่บนดาวดวงอื่น ทั้งวิตกกังวลกับโรคระบาดชนิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้มนุษย์ต้องสูญพันธุ์ ประเทศไทยยังคงสนุกสนานเหมือนเด็กเล่นขายของกับการกล่าวหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกระทั่งล้มสถาบันสนุกครับ สนุก
เมธัส บัวชุม
ตื่นเช้าขึ้นมา หากไม่มีอะไรเร่งด่วนต้องทำ ผมจะนั่งเขียนโน่น เขียนนี่พร้อม ๆ กับที่เข้าไปในบอร์ดประชาไท อ่านกระทู้ต่าง ๆ อยู่เงียบ ๆ มานานจนเกือบจะกลายเป็นกิจวัตร (ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์) แต่หลังเช้าไปแล้ว ผมก็ทำอย่างอื่น ไม่ได้นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ จึงไม่อาจติดตามความเคลื่อนไหวในบอร์ดประชาไทได้อีก ดังนั้นจึงได้อ่านเพียงบางกระทู้เท่านั้นและล้วนแล้วแต่เป็นการอ่านผ่านๆ ทั้งสิ้น
เมธัส บัวชุม
พักหลัง ผมเข้าไปเยื่ยมชมเว็บไซต์ "ASTVผู้จัดการ" บ่อยครั้ง เพื่ออยากรู้ว่าชาวสีเหลืองหรือกลุ่มพันธมิตรคิดอ่านกันอย่างไร มีนวัตกรรมอะไรบ้างในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ศึกษากลวิธีในการเต้าข่าว การใส่ไคล้ การใช้ภาษาของบรรดาคอลัมนิสต์ กระทั่งแวะเข้าไปอ่าน "เรื่องนินทาราวตาเห็น" ของ "ซ้อเจ็ด" ผู้โด่งดัง
เมธัส บัวชุม
หลายวันก่อน ได้อ่านบทความของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง “ทางออกจากทักษิณ” (มติชนรายวัน, 20 ก.ค. 52.) บทความนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อเหลืองและแดง  เนื้อหาของบทความ นอกจากปัญญาชนรายนี้จะออกตัวให้กลุ่มพันธมิตรหรือเสื้อเหลืองโดยยกระดับความคิด และการกระทำของคนกลุ่มนี้ว่าเกิดจากทัศนะและความเข้าใจในประชาธิปไตยที่แตกต่างจากกลุ่มเสื้อแดงซึ่งทั้งสองกลุ่มล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อน  
เมธัส บัวชุม
นานมาแล้ว ที่ผมไม่เคยเจ็บป่วยขนาดต้องไปโรงพยาบาลหรือหาหมอ อย่างมากก็แค่ซื้อยาแก้เจ็บคอมากิน แต่ครั้งนี้เจ็บคอหลายวัน บวกกับอาการมึนหัว เบื่ออาหาร เพลีย และปวดเมื่อยเนื้อตัวอย่างหนักขนาดทาถูสบู่ตามตัวยังรู้สึกปวดไปถึงกระดูก เวลานอนต้องนอนตะแคงอย่างเดียวจะนอนหงายหรือคว่ำไม่ได้เพราะปวดเมื่อย(ขนาดนั้น) ผมจึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลแม้จะยังสงสัยอยู่ว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่ น่าตกใจพอสมควรที่คนป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เต็มล้นโรงพยาบาล (แต่แทบไม่มีคนที่อยู่วัยเดียวกับผม) ผมคิดในใจว่าถ้าตนเองเป็นเพียงโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ก็คงจะมารับเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่โรงพยาบาลนี่แหละ…
เมธัส บัวชุม
การล่า 1 ล้านรายชื่อของสามเกลอแห่ง "ความจริงวันนี้" เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นประเด็นให้คนเสื้อแดงถกเถียงแก้เซ็งไปพลาง ๆ โหมโรงการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป มีความคิดเห็นค่อนข้างหลากหลายในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกัน ทั้งนี้เพราะคนเสื้อแดงนั้นมีความหลากหลายในตัวเองอยู่แล้ว คือมีตั้งแต่ "แดงอนุรักษ์" ไปจนถึง "แดงถอนรากถอนโคน" ซึ่งลักษณะที่ว่านี้ไม่มีในหมู่คนเสื้อเหลือง
เมธัส บัวชุม
เป็นความคิดที่ดีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความพยายามจะ “รื้อฟื้น” วันชาติขึ้น เพราะมันมีความหมายและนัยสำคัญต่อประชาธิปไตยและการเมืองไทยอย่างมาก วันชาติเป็นผลพวงของการยึดอำนาจของคณะราษฎรเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยสู่ระบอบการปกครองแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเสียงและความคิดเห็นของประชาชน ภายใต้หลักนิติรัฐที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเสมอกัน