Skip to main content

อาจารย์สมศักดิ์  เจียมธีรสกุล ภาควิชาประวัติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นกลางบางกลุ่มที่เป็นพวก “สองไม่เอา” คือไม่เอาทั้ง “ทักษิณ” และ “ไม่เอารัฐประหาร” จนเป็นประเด็นถกเถียงน่าสนใจทางโลกไซเบอร์

นักวิชาการบางคนพยายามที่จะไปให้พ้นจาก “สองไม่เอา” โดยพูดถึง “ทางเลือกที่สาม” แต่ที่สุดก็ไม่สามารถบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม” นั้นคืออะไร

การพยายามค้นหาหรือสร้าง “ทางเลือกที่สาม” มีข้อดีในแง่ที่ว่าอาจช่วยเปิดจินตนาการทางการเมืองให้กว้างขึ้นแต่ก็นั่นแหละใครจะบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม”  เป็นอย่างไร  “ทางเลือกที่สาม” มีจริงหรือ ?

เมื่อ “ทางเลือกที่สาม” ไม่มีอยู่จริง ก็จำเป็นต้อง “เลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง” และการบังคับให้ต้อง “เลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง” ได้หวนกลับมาสร้างปัญหาอีกครั้งเมื่อต้องหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปหลังคณะรัฐประหาร “คาย” อำนาจที่สวาปามเข้าไปออกมา

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม “ทางเลือก” ในครั้งนี้มีเพียงสองทางเหมือนเดิมนั่นคือไม่พรรคพลังประชาชนก็ประชาธิปัตย์ ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบทั้งสองทางแต่ก็ต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง เป็นอื่นนอกเหนือไปจากนี้ไม่ได้

 

การกาช่องไม่ลงคะแนนเสียงให้ใครหรือประสงค์ที่จะไม่เลือกใครนั้นไม่อาจทำให้ทางเลือกสองทางนี้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล  การไม่ลงคะแนนให้ใครจึงไม่ใช่ทางเลือกที่สาม

ปัญญาชนหรือคนชั้นกลางบางส่วนอาจรู้สึกพึงพอใจในตนเองที่ “เลือกที่จะไม่เลือก” หรือไม่ประสงค์จะลงคะแนนเสียงให้ใคร แต่ทางเลือกหรือวิธีการกระทำเช่นนี้คือการแสร้งทำเป็นมืดบอดหรือหลอกตัวเองว่ามีอิสระ เสรีภาพมากพอที่จะเลือกตามใจตนเองเพราะผลลัพธ์ยังคงออกมาเหมือนเดิมนั่นคือมีทางแค่สองทางเท่านั้น

การมีทางเลือกเพียงสองทางเป็นกติกาของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เข้าใจได้ง่าย ๆ นักวิชาการและชนชั้นกลางไม่ต้องกระแดะ หรือดัดจริตว่าจะมี “ทางเลือกที่สาม” ให้สำหรับคนที่ไม่พอใจตัวเลือกทั้งสองเพราะที่สุดแล้วดังที่กล่าวตอนต้นคือนักวิชาการผู้กล่าวถึง “ทางเลือกที่สาม” ก็ไม่อาจบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม” คืออะไร

ดังนั้น ระหว่างทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้นที่มีอยู่ ควรจะเลือกทางใดดี ?

ก่อนหน้านี้ทางเลือกคือไม่ “ทักษิณ” ก็ “รัฐประหาร” ข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่มีตรงกลางให้ยืน

ในเวลาต่อมาหรือในปัจจุบันทางเลือกเปลี่ยนจาก “ทักษิณ” เป็น “พรรคพลังประชาชน” ส่วน “รัฐประหาร” เปลี่ยนเป็น “พรรคประชาธิปัตย์”

“ทักษิณ” หันมาสนับสนุนพรรคพลังประชาชนภายใต้การนำของคุณสมัคร สุนทรเวช ในขณะที่คมช.ซึ่งล้มเหลวในทุก ๆ ทาง รวมทั้งองค์กรพันธมิตรและพวก “นอกระบบ” ทั้งหลายได้หันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์อาจจะไม่ได้ “กินฉี่ทหาร” แต่พฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็น “พวกเดียว” กับ “ทหาร” “ทหาร” ที่ทำลายประเทศ ทำลายการเมือง ทำลายเจตนารมณ์ในการ “เลือก” ของประชาชนเสียงข้างมาก

นอกจาก “ทหาร” แล้วแนวร่วมทางฟากของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมี “องค์กรเถื่อน” ที่อยู่ในที่มืดแล้วใช้ “มือสกปรก” สอดเข้ามา

ในขณะที่พรรคพลังประชาชนถูกกลั่นแกล้ง ใส่ความ อย่างหนักไม่ว่าจะเป็นจาก คมช.เรื่องเอกสารลับ หรือการสอดมือสกปรกเข้าแทรกแซงกกต.เพื่อให้โทษกับพรรคพลังประชาชนและให้คุณกับพรรคประชาธิปัตย์

เหล่านี้ล้วนทำให้พรรคพลังประชาชนเป็นตัวเลือกที่น่าเลือกกว่าพรรคประชาธิปัตย์มาก เพราะพรรคพลังประชาชนต่อสู้ตามกติกาในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นถนัดกับการ “เล่นนอกเกม” ทำลาย ”หลักการ” สร้าง “หลักกู” เพื่อหวังผลชนะสถานเดียว

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกระหว่างพรรคพลังประชาชนกับพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังดูดีกว่าทางเลือกระหว่าง “ทักษิณ” กับ “รัฐประหาร” เพราะ “รัฐประหาร” นั้น “เลวร้าย” กว่า “ทักษิณ” อย่างเทียบกันไม่ติดแต่ชนชั้นกลาง ชนชั้นกลวงก็ยังเกลียด “รัฐประหาร” น้อยกว่า

นี่เป็นเรื่องที่น่าสมเพชของชนชั้นกลาง ส่วนชนชั้นกลางที่เป็นปัญญาชนที่ “ขายตัว” ให้กับการ ”รัฐประหาร” นั้นนับว่าน่าเห็นใจเพราะกระสันอำนาจและยศศักดิ์เสียจนหน้ามืดตามัว ลืมสิ่งที่ตนเองได้เคยพูด เคยเขียนไว้  

คนชั้นกลางบางพวกอาจไม่เลือกพรรคพลังประชาชนด้วยหมกมุ่นอยู่กับความกลัว “ทักษิณ” ขึ้นสมอง แต่อย่างไรเสีย พรรคพลังประชาชนเป็นทางเลือกที่ “เลวน้อยกว่า” เมื่อเทียบกันกับพรรคประชาธิปัตย์ และคน “ส่วนใหญ่” ก็ได้เลือกให้เห็นชัดเจนแล้วในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ปัญหาของคนชั้นกลางไม่ใช่อยู่ที่การ “เลือก” แต่อยู่ที่การ “ไม่เลือก” ด้วยยึดติดกับภาพลวงตาว่ามี “ทางเลือกที่สาม”  บทความนี้ขอเสนอว่าเลิกยึดติดเรื่อง “ทางเลือกที่สาม” แล้วตัดสินใจเลือกทางที่ “เลวน้อย” กว่า ซึ่งคำตอบย่อมไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์หากแต่เป็น “พลังประชาชน”

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
การประท้วงของกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ภายใต้การนำของ สาวิทย์ แก้วหวาน ผู้ซึ่งเป็นแกนนำสหภาพแรงงาน ฯ เป็นการประท้วงในสไตล์เดียวกับการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร นั่นคือเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นตัวประกันเพื่อให้ได้ตามความต้องการของตนเอง 
เมธัส บัวชุม
หลังจากอิดออดเพื่อรักษาท่าทีแต่พองามแล้ว “ผู้ร้าย” สองคนก็เปิดตัวเปิดใจกระโจนเข้าสู่วง ”การเมือง” เต็มตัว “ผู้ร้าย” คนแรก
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนในอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี นานมาแล้วที่ผมไม่ได้ออกไปไหน เพื่อนพาไปเที่ยวป่าและแวะที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แลดูลี้ลับ วังเวงและยากไร้
เมธัส บัวชุม
สังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่กับความโง่ มีความโง่เป็นเจ้าเรือน นับวันความโง่ยิ่งแผ่ขยายแพร่กระจายไปราวเชื้อโรค หลายคนโง่โดยสุจริต  คนเหล่านี้น่าเห็นใจ ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้  อคติ ความเกลียดชังทำให้ประสิทธิภาพในการคิดเสื่อมถอย สติปัญญาถูกบิดเบือนไป คนประเภทนี้โง่เพราะถูกอคติทำลายจนมืดบอด
เมธัส บัวชุม
  ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังรวนเรเพราะความไร้ฝีมือและความเน่าจากภายใน แทนที่จะทุ่มสมองและแรงงานเพื่อกระหนาบกระหน่ำรัฐบาลโจร คนเสื้อแดงเฉดต่าง ๆ ก็กลับใช้โอกาสนี้วิพากษ์วิจารณ์กันรุนแรงกระทั่งแตกออกเป็นสาย
เมธัส บัวชุม
ในโลกโลกาภิวัฒน์ที่มนุษย์กำลังเดินทางไปในอวกาศเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก และเตรียมหาที่อยู่บนดาวดวงอื่น ทั้งวิตกกังวลกับโรคระบาดชนิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้มนุษย์ต้องสูญพันธุ์ ประเทศไทยยังคงสนุกสนานเหมือนเด็กเล่นขายของกับการกล่าวหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกระทั่งล้มสถาบันสนุกครับ สนุก
เมธัส บัวชุม
ตื่นเช้าขึ้นมา หากไม่มีอะไรเร่งด่วนต้องทำ ผมจะนั่งเขียนโน่น เขียนนี่พร้อม ๆ กับที่เข้าไปในบอร์ดประชาไท อ่านกระทู้ต่าง ๆ อยู่เงียบ ๆ มานานจนเกือบจะกลายเป็นกิจวัตร (ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์) แต่หลังเช้าไปแล้ว ผมก็ทำอย่างอื่น ไม่ได้นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ จึงไม่อาจติดตามความเคลื่อนไหวในบอร์ดประชาไทได้อีก ดังนั้นจึงได้อ่านเพียงบางกระทู้เท่านั้นและล้วนแล้วแต่เป็นการอ่านผ่านๆ ทั้งสิ้น
เมธัส บัวชุม
พักหลัง ผมเข้าไปเยื่ยมชมเว็บไซต์ "ASTVผู้จัดการ" บ่อยครั้ง เพื่ออยากรู้ว่าชาวสีเหลืองหรือกลุ่มพันธมิตรคิดอ่านกันอย่างไร มีนวัตกรรมอะไรบ้างในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ศึกษากลวิธีในการเต้าข่าว การใส่ไคล้ การใช้ภาษาของบรรดาคอลัมนิสต์ กระทั่งแวะเข้าไปอ่าน "เรื่องนินทาราวตาเห็น" ของ "ซ้อเจ็ด" ผู้โด่งดัง
เมธัส บัวชุม
หลายวันก่อน ได้อ่านบทความของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง “ทางออกจากทักษิณ” (มติชนรายวัน, 20 ก.ค. 52.) บทความนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อเหลืองและแดง  เนื้อหาของบทความ นอกจากปัญญาชนรายนี้จะออกตัวให้กลุ่มพันธมิตรหรือเสื้อเหลืองโดยยกระดับความคิด และการกระทำของคนกลุ่มนี้ว่าเกิดจากทัศนะและความเข้าใจในประชาธิปไตยที่แตกต่างจากกลุ่มเสื้อแดงซึ่งทั้งสองกลุ่มล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อน  
เมธัส บัวชุม
นานมาแล้ว ที่ผมไม่เคยเจ็บป่วยขนาดต้องไปโรงพยาบาลหรือหาหมอ อย่างมากก็แค่ซื้อยาแก้เจ็บคอมากิน แต่ครั้งนี้เจ็บคอหลายวัน บวกกับอาการมึนหัว เบื่ออาหาร เพลีย และปวดเมื่อยเนื้อตัวอย่างหนักขนาดทาถูสบู่ตามตัวยังรู้สึกปวดไปถึงกระดูก เวลานอนต้องนอนตะแคงอย่างเดียวจะนอนหงายหรือคว่ำไม่ได้เพราะปวดเมื่อย(ขนาดนั้น) ผมจึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลแม้จะยังสงสัยอยู่ว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่ น่าตกใจพอสมควรที่คนป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เต็มล้นโรงพยาบาล (แต่แทบไม่มีคนที่อยู่วัยเดียวกับผม) ผมคิดในใจว่าถ้าตนเองเป็นเพียงโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ก็คงจะมารับเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่โรงพยาบาลนี่แหละ…
เมธัส บัวชุม
การล่า 1 ล้านรายชื่อของสามเกลอแห่ง "ความจริงวันนี้" เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นประเด็นให้คนเสื้อแดงถกเถียงแก้เซ็งไปพลาง ๆ โหมโรงการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป มีความคิดเห็นค่อนข้างหลากหลายในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกัน ทั้งนี้เพราะคนเสื้อแดงนั้นมีความหลากหลายในตัวเองอยู่แล้ว คือมีตั้งแต่ "แดงอนุรักษ์" ไปจนถึง "แดงถอนรากถอนโคน" ซึ่งลักษณะที่ว่านี้ไม่มีในหมู่คนเสื้อเหลือง
เมธัส บัวชุม
เป็นความคิดที่ดีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความพยายามจะ “รื้อฟื้น” วันชาติขึ้น เพราะมันมีความหมายและนัยสำคัญต่อประชาธิปไตยและการเมืองไทยอย่างมาก วันชาติเป็นผลพวงของการยึดอำนาจของคณะราษฎรเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยสู่ระบอบการปกครองแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเสียงและความคิดเห็นของประชาชน ภายใต้หลักนิติรัฐที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเสมอกัน