Skip to main content

เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อย

พวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”

“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกัน

สำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง มีสัญลักษณ์เป็น “กระบอง”  ห้อยติดตัวอยู่ตลอดเวลา อำนาจของเขาอยู่ที่ “กระบอง” ที่เอาไว้ “ทุบคนที่น่าสงสัย”

ในขณะที่ “ผู้จัดการ” จัดเป็นพวกคนชั้นกลางหรือสูงก็ได้แล้วแต่ว่าเป็นผู้จัดการบริษัทอะไร หน้าที่การงานของผู้จัดการคือการเป็นผู้บริหาร คอยวางนโยบาย วางแผนว่าทำอย่างไรจึงได้เลื่อนตำแหน่ง และชี้นิ้วสั่งการซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้สมองหรือสติปัญญา

สื่อในเครือผู้จัดการสามารถ “กวาด” เอาบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันเหล่านี้มารวมเข้าด้วยกันได้อย่างไม่เคอะเขิน เครือผู้จัดการจึงสามารถ “เล่นบทอะไรก็ได้” ตั้งแต่ระดับล่างเป็นจนถึงระดับสูง

เมื่อเวลาที่ต้องการสื่อสารกับคนระดับล่างหรือสื่อถึงความหวงแหนรักแผ่นดิน เครือผู้จัดการ ก็จะเล่นบทเป็น “ยามเฝ้าแผ่นดิน” แต่จะ “เฝ้าแผ่นดิน” ได้นั้นต้องแสดงให้เห็นเสียก่อนว่ามีบางคนหรือบางกลุ่ม “เป็นภัยต่อแผ่นดิน”  

โดยไม่รอช้า บรรดาสื่อที่มีอยู่ในมือทั้งหมดจึงพากันสร้างข้อกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน เป็นต้นว่า “ปฏิญญาฟินแลนด์” อันบัดซบ “ทุบพระพรหมเพื่อเลี่ยงขาลง”  ฯลฯ (เป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งในเวลาต่อมาเมื่อผู้คนกลับมามีสติปกติว่า “ข้อกล่าวหาจากยาม” ล้วนเป็นเท็จ)

การใช้เส้นสายกระจายข่าวของเครือผู้จัดการนับว่าได้ผลอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น คนระดับสมาชิกวุฒิสภาและเคยได้รับรางวัลแมกไซไซ อย่างโสภณ  สุภาพงษ์ นำเรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์” มาขยายขายต่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราวโดยไม่เอะใจแม้แต่น้อยว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน อันทำให้รางวัลแมกไซไซที่เขาได้รับสูญค่าลงทันที

“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ประสบความสำเร็จในการ “ติดป้าย” ให้แก่บางคนหรือบางกลุ่มกลายเป็นพวกไม่หวังดีต่อแผ่นดิน อันทำให้บทบาทของการเป็น “ยาม” โดดเด่นเป็นสง่าขึ้น สอดรับกับการเคลื่อนไหวของผู้จัดการที่หาแนวร่วมโดยเน้นตลาดบน ตลาดของคนดีมีศีลธรรม ทำให้แนวร่วมเครือข่ายของเครือผู้จัดการเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าวัฒนธรรมของ “ยาม” นั้นพึ่งพาพึ่งพิงผู้อยู่อาศัยหรือเจ้าของบ้านหรือเจ้าของตึกหรือจากลูกค้า นอกจากเงินเดือนที่ยามได้รับจากบริษัทแล้ว ที่มากไปกว่านั้นคือ “ค่าทิป” ที่อาจจะเป็นกระทิงแดงสักขวด บุหรี่สักซอง เหล้าสักกลม เงินสักร้อยหรือมากกว่านั้น นี่ต่างหากที่เป็น   “รายได้หลัก” ของยาม

ลูกค้าคนไหนที่ไม่ค่อยให้ทิป ยามก็จะไม่ใส่ใจบริการกระทั่งเพิกเฉยต่อหน้าที่ แต่หากลูกค้าคนไหนให้ทิปงามๆ ยามก็จะกุลีกุจอบริการ บางกรณียามแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อพฤติกรรมเสียหายหรือผิดกฎหมายของลูกค้า หรือบางทีก็ยอมพูดโกหกเพื่อปกป้องลูกค้าหรือไปไกลถึงขั้นเสแสร้งเล่นตลกหรือเล่นจำอวดก็ได้    นี่คือวัฒนธรรมของยามที่พบเห็นได้เสมอแม้จะไม่ทุกคนก็ตาม

การเป็นยามได้อะไรมากกว่าเงินเดือน การเป็น “ยามเฝ้าแผ่นดิน” จึงน่าจะได้อะไรมากกว่าการได้ ”เฝ้าแผ่นดิน” เฉย ๆ เพราะถ้าไม่ได้อะไรแล้วก็คงไม่มีใครเสนอตัว “อยากเฝ้า”

สำหรับการเล่นเป็น “ผู้จัดการ” นั้นทำท่าว่าจะไปได้ดีแต่สุดท้ายล้มเหลว ได้เป็นเพียงผู้จัดการกำมะลอเป็นเจ้าของโรงน้ำแข็งเล็ก ๆ คอย “ปั้นน้ำเป็นตัว”  กินกันเองในเครือไม่กี่คน

กระนั้นก็ตาม กล่าวได้ว่าความสามารถในการ “ปั้นน้ำเป็นตัว” ทำให้ “ผู้จัดการ” โด่งดังอย่างมากและเกือบจะเป็นผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จสูงสุด แต่ด้วย “โทษลักษณะ” บางอย่างในตัวเองสุดท้ายก็เป็นได้แค่เจ้าของโรงน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถขยายให้ใหญ่โต หรือส่งออกน้ำแข็งได้เพราะ “น้ำแข็งละลายระหว่างทาง”

นอกจากการเล่นบทบาทสมมุติเป็น “ยาม” และ” ผู้จัดการ” แล้ว บางครั้งไปไกลถึงขั้นเล่นเป็นผู้เชี่ยวชาญทางธรรมอีกด้วย สมาชิกในเครือบางรายลงทุนถึงขั้นโกนศีรษะและห่มเหลือง (บวชนั่นแหละ) กล่าวได้ว่านี่เป็นวิธีการสร้างแนวร่วมที่ชาญฉลาดแต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนักเพราะ “คนบาปที่ห่มผ้าเหลืองก็ยังเป็นคนบาปอยู่วันยังค่ำ”

นิยายลวงโลกกำลังถูกตีแผ่  การกุข่าวอย่างไม่สำนึกจะกลายเป็นเรื่องขำขันที่ได้รับแต่เสียงหัวเราะเยาะ  การโกหกอย่างไม่ละอายจะส่งผลย้อนกลับทำลายตัวเอง บทเรียนที่ผ่านมาทำให้ผู้คนฉลาดขึ้น อย่างน้อยก็ฉลาดพอที่จะรู้ทันและรู้จักระมัดระวัง

สุดท้าย สำหรับ “ยาม” และ “ผู้จัดการ” จึงเป็นได้แค่เพียง “จำอวดไร้คนดู” และ “เจ้าของโรงน้ำแข็งกำมะลอที่ปั้นน้ำเป็นตัวกินกันเอง” เท่านั้น                                     
                                
   

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
มหาชนสีแดงยื่นบันไดแห่งการยุบสภาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีนลงมาอย่างง่าย ๆ ชนิดที่บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น แต่ไม่เป็นผลอะไร ด้วยโมหะจริต นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ดึงดันจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้ว่าจะต้องทำอะไรที่เสียเกียรติความเป็นผู้นำไปมากก็ตาม
เมธัส บัวชุม
การเคลื่อนพลของคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินน่าตื่นตาตื่นใจและอลังการสมการรอคอย แม้ว่าการมาทางเรือจะผิดจากความคาดหวังอยู่มากก็ตาม ผมยืนรอชมขบวนเรือของคนเสื้อแดงบนสะพานกรุงธนนานกว่า 3 ชั่วโมงพร้อมกับแดงคนอื่น ๆ เต็มสะพาน โบกไม้โบกมือ ไชโยโห่ร้องกับคนเสื้อแดงที่ขับรถผ่านไปมา
เมธัส บัวชุม
แม้ผลการตัดสินคดียึดทรัพย์เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้อยู่แล้ว แต่คนเสื้อแดงหลายคนยังรู้สึกเจ็บปวด บางคนถึงขั้นหลั่งน้ำตาทั้งที่เงินนั้นไม่ใช่เงินของตนเอง พวกอำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์และคนเสื้อเหลืองไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าที่คนเสื้อแดงหลั่งน้ำตานั้นไม่ใช่เพราะเสียดายเงินของอดีตนายก ฯ ทักษิณ  ชินวัตร ที่ถูกยึดไปอย่างไม่เป็นธรรม แต่เป็นเพราะรู้สึกเจ็บปวดที่ตนเองทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นความอยุติธรรมบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาครั้งแล้วครั้งเล่า
เมธัส บัวชุม
ไม่ว่าผลการตัดสินคดียึดทรัพย์ (ปล้นทรัพย์อย่างถูกกฎหมาย) ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร จะออกมาเป็นอย่างไร การลุกฮือของคนเสื้อแดงก็ยังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เสื้อแดงจำนวนไม่น้อยอาจไม่ได้ยี่หระเลยกับทรัพย์สินของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตรเพราะนั่นเป็นราคาที่อดีตนายก ฯ ต้องจ่ายสำหรับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย หลายคนจะได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยนั้นถ้าไม่จ่ายด้วยเลือดและชีวิตก็ต้องจ่ายด้วยทรัพย์สินแสนแพง
เมธัส บัวชุม
 เมื่อความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่ายต่าง ๆ เขม็งเกลียวแน่นใกล้ถึงจุดวิกฤติ ข่าวเกี่ยวกับการทำรัฐประหารก็ลอยมาจากทางโน้นทางนี้เป็นระยะ น่าเชื่อบ้าง ไม่น่าเชื่อบ้าง ราวกับว่ารัฐประหารเป็นทางออกเดียวในการจัดการปัญหา
เมธัส บัวชุม
การเข้าครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงอย่างผิดกฏหมายขององคมนตรีคุณธรรมสูงอย่างสุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้แต่น้อย ไม่ใช่ข้อค้นพบที่น่าตื่นเต้น ไม่ใช่ความลับที่น้อยคนรู้ ชาวบ้านร้านตลาดในบริเวณนั้นต่างก็รู้กันเป็นอย่างดีว่าวิลล่าสวยงามบนเขายายเที่ยงนั้นเป็นของใคร
เมธัส บัวชุม
ผมค่อนข้างแปลกใจที่สังคมไทยยังไม่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ว่าที่จริงสงกรานต์เลือดเมื่อปีกลายที่ผ่านมา เป็นโอกาสเหมาะไม่น้อยสำหรับการเกิดสงครามกลางเมืองซึ่งอาจจะจบลงด้วยการทำลายพลังประชาชนรากหญ้าและคนชั้นกลางฝ่ายก้าวหน้าลงอย่างย่อยยับ จนยากที่จะฟื้นกลับคืนมาใหม่ หรืออาจเป็นไปในทางกลับกันก็ได้หากประชาชนได้รับชัยชนะคือระบอบประชาธิปไตยจะขยับไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด อำนาจของอำมาตย์จะถูกจำกัดวง พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด?
เมธัส บัวชุม
-1- ฉันมีวิธีเผชิญหน้ากับอาการนอนไม่หลับด้วยการนอนลืมตาอยู่ในความมืด พยายามไม่คิดอะไร แต่ดวงความคิดของฉันก็ไหลลอยไปสู่เรื่องนั้นเรื่องนี้ หวนรำลึกไปถึงสถานที่และผู้คนที่ฉันเคยพานพบประหนึ่งว่าฉันเพิ่งจากผู้คนและสถานที่เหล่านั้นมา
เมธัส บัวชุม
เรื่องราวในชีวิตของคนเราสามารถนำมาเขียนแต่งเป็นนิยายได้ทั้งนั้น โดยการใส่พล็อตหรือท้องเรื่องเข้าไป ตีความให้ดูน่าสนใจ แล้วเสาะหา(สร้าง)ข้อมูลเพื่อยัดลงไปในพล็อตที่วางไว้โดยอาจหยิบเพียงบางช่วงบางตอนของชีวิตก็ได้
เมธัส บัวชุม
คงไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจแต่ประการใดที่เราได้เห็นปัญญาชนสยาม ปัญญาชนสาธารณะอย่างสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ไปออกโทรทัศน์ของทาง ASTV “รายการรู้ทันประเทศไทย” ที่มีเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการผู้หากินกับวาทกรรม “ชาวบ้าน” มายาวนาน งนี้เพราะหลายคนซึ้งแน่แก่ใจแล้วว่าบั้นปลายชีวิตของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้หลงตนนั้นโน้มเอียงไปทางเผด็จการ หรือไปทางศักดินามากเสียยิ่งกว่าจะยืนข้างชาวบ้านอย่างที่เขาพร่ำพูดถึงเสมอ
เมธัส บัวชุม
หากผมบอกว่าชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ใช้ไม่ได้แล้ว บางคนคงโต้แย้ง ผมจึงต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ให้กว้าง ๆ ว่า ชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ไม่เพียงพอสำหรับการทำความเข้าใจความเป็นไปของสังคมการเมืองในโลกปัจจุบัน ไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าความหมายและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง
เมธัส บัวชุม
รถไฟไทยเป็นอย่างที่เป็นอยู่มานาน โดยแทบไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งนี้เพราะความเสื่อมโทรมของรถไฟให้ประโยชน์แก่คนหลายกลุ่ม รวมทั้งสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ดังนั้นแนวคิดใด ๆ ก็ตามที่จะทำให้รถไฟเปลี่ยนไปจึงถูกต่อต้านแม้จะมีผลการวิเคราะห์วิจัยรองรับอยู่จำนวนมาก