Skip to main content

             หาก Citizen Kane ของ ออร์สัน เวลล์ คือภาพยนตร์ที่แทบทุกสถาบันของวงการภาพยนตร์นั้นต่างยกย่องเชิดชูให้มันเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาลไม่ว่าจะสำรวจกี่ครั้งก็ตามแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะมีชื่อเป็นอันดับหนึ่งทุกครั้งไป กระนั้นมันเป็นเพียงการสำรวจในด้านความยอดเยี่ยมของมันเท่านั้น ยิ่งหากเราไปสำรวจในด้านความนิยมชมชอบของคนอเมริกันต่อภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งกลับถูกยกขึ้นมาแทนที่ในฐานะ ภาพยนตร์ที่ชาวอเมริกันหลงรักมากที่สุดชนิดที่ว่าอยู่ยงคงกระพันเช่นเดียวกับหนังอย่าง Cititzen Kane เสียด้วยซ้ำไป นอกจากนี้มันยังอมตะและไม่มีวันตายเช่นเดียวกับเรื่องราวของมันที่ไม่ว่ากาลจะผ่านไปก็ยังคงอยู่ทุกสมัย

ชื่อของภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ It's a Wonderful Life 

เรื่องราวของภาพยนตร์เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เทวดาได้รับเสียงภาวนาอ้อนวอนจากให้ช่วยเหลือชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า จอร์จ เบลีย์ ซึ่งเสียงภาวนานี้ทำให้เทวดาบนสวรรค์ถึงกับแปลกใจว่า เหตุใดชายคนนี้ถึงได้มีคนภาวนาให้ช่วยเหลือเขากันแน่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงส่งเทวดาไร้ปีกตนหนึ่งลงบนโลกเพื่อช่วยเหลือเขา โดยก่อนจะไปนั้นเหล่าเทวดาได้ติดตามดูชีวิตของจอร์จ เบลีย์ให้คลายสงสัยว่า ทำไมชายคนนี้จึงมีภาวนามากมายแบบนี้ เรื่องราวจึงย้อนกลับไปในสมัยที่เขายังเด็ก จอร์จได้ช่วยชีวิตคนเอาไว้สองคนได้แก่ น้องชายของเขาที่ตกลงไปในน้ำแข็ง ซึ่งส่งผลให้จอร์จเป็นหูหนวกไปข้างหนึ่ง อีกคนเขาได้ช่วยเอาไว้ก็คือ เจ้าของร้านขายยาที่เกือบใส่ยาพิษให้ลูกค้า ซึ่งจอร์จไม่ได้เอาไปให้ทำเขาไม่ติดคุกเพราะทำคนตายนั้นเอง หลังจากนั้นในตอนหนุ่ม จอร์จ เบลีย์ได้ใฝ่ฝันจะได้ผจญภัยออกเดินทางไปทั่วโลก เขาวางแผนเดินทางไปทั่วตามใจฝันของเขา ทว่าเขาก็ต้องพบกับวิบากกรรมเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตลงและบริษัทกำลังจะถูกยึดจากนายทุนหน้าเลือดคนหนึ่งนั้นทำให้เขาตัดสินใจโยนความฝันทิ้งให้น้องชายไปศึกษาต่อแทน โดยเขายังหวังว่าจะได้ทำตามความฝันของตัวเองต่อไป ทว่าในวันที่น้องชายเรียนจบมหาลัย เขาก็พบน้องชายได้แต่งงานและกำลังจะเข้าทำงานในบริษัทที่ทำให้เขาไปไกลได้มากกว่ามาจมอยู่ในบริษัทเล็กๆแบบนี้ ทำให้จอร์จตัดสินใจทิ้งความฝันและแต่งงานกับแมรี่ หญิงสาวที่เขาหลงรักตั้งแต่เด็ก มีครอบครัวเล็กๆในบริษัทเล็กๆอย่างสงบสุข ทว่าโชคร้ายก็มาเกิดขึ้นกับบริษัทเขาเมื่อบริษัทของเขากำลังจะขาดเงินและตัวของเขากำลังจะถูกจับในฐานยักยอกทรัพย์ นั้นทำให้จอร์จผู้แสนดีนั้นสิ้นหวังยิ่งกว่าครั้งใด เขาคิดจะฆ่าตัวตายให้พ้นโลกไปเสียอะไรมันจะได้ดีขึ้น ทว่าจู่ๆก็มีคนกระโดดน้ำลงไปตัดหน้าเขา ทำให้จอร์จกระโดดลงไปช่วยเขา ก่อนจะได้พบว่าเขาคือเทวดาไร้ปีกที่ถูกสวรรค์ส่งมาช่วยเขาเพื่อแลกกับปีก โดยเขาจะช่วยเหลือจอร์จ ทว่าจอร์จไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาบอกว่า ถ้าเขาเลือกได้ เขาไม่ควรจะเกิดมาบนโลกนี้ อะไรๆมันจะได้ดีขึ้น เทวดาจึงบันดาลให้เขาได้เห็นภาพของโลกที่ไม่ได้เกิดมาว่า มันเป็นเช่นไร

ภาพยนตร์เรื่องนี้มักจะถูกนำมาฉายในช่วงเทศกาลคริสต์มัสเสมอเพราะตัวหนังนั้นมีจุดประสงค์ที่ต้องการให้คนดูนั้นเชื่อมั่นและไม่สิ้นหวังต่อความดี ตัวของหนังทำให้เราได้เห็นชีวิตของชายคนหนึ่งที่มีความฝันยิ่งใหญ่ในการผจญภัยราวกับเด็ก ค่อยๆโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่ความฝันของเขาค่อยๆเล็กลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งความสุขของเขาคือ การได้มีชีวิตที่สงบสุขและมีลูกเมียที่น่ารักอยู่เคียงข้างแทน ซึ่งสะท้อนภาพของ American Dream ซึ่งเป็นสภาพของครอบครัวชาวอเมริกันในยุค 50 ได้อย่างดี ซึ่งเป็นสภาพสังคมอุดมคติของชาวอเมริกันที่แสนจะงดงาม โดยจะมีองค์ประกอบที่น่าสนใจอย่าง พ่อกลับบ้านสวมชุดสูทถือกระเป๋าใบหนึ่งเข้ามาในบ้านแล้วตะโกนว่า “ผมกลับมาแล้ว” ก่อนจะมีลูกๆวิ่งออกมากอดพ่ออย่างไร้เดียงสา สามีหรือพ่อต้องไปจูบภรรยาที่เดินออกมาต้อนรับในชุดทำครัว และจากนั้นพวกเขาก็ทานข้าวกันอย่างอบอุ่น ซึ่งเป็นบรรยากาศของภาพความอบอุ่นที่รัฐอเมริกาพยายามสร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับอุดมคตินี้(ซึ่งแน่นอนว่า ช่วงเวลาที่หนังเรื่องนี้สร้างคือในปี 1946 หรือภายหลังสงครามโลกไม่กี่ปี) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อเมริกันชนกำลังมีความสุขในฐานะฮีโร่ของโลกที่ช่วยปกป้องมนุษย์จากฝ่ายอักษะอย่างนาซีและญี่ปุ่นผู้ชั่วร้าย ทว่านับจากนั้นก็เป็นการก้าวเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์เริ่มมีอำนาจขึ้นพอดิบพอดีเช่นกัน

จากข้อมูลในบทวิจารณ์ของอาจารย์ประวิทย์ แต่งอักษรได้บอกเราให้รู้ว่า ผู้กำกับเรื่องนี้เคยถูกตรวจสอบหลายครั้งว่า เป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ ซึ่งบ่งบอกถึงภัยหวาดระแวงต่อคอมมิวนิสต์ที่กำลังครอบงำความกลัวต่ออเมริกันชนอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งการมาของคอมมิวนิสต์ก็มีส่วนให้สังคมพาฝันอย่าง American Dream สั่นคลอนจนล่มสลายลงไปในที่สุดในช่วงสงครามเวียดนามนั้นเอง

สิ่งที่น่าสนใจจนเหมือนกับว่า หนังพูดถึงเรื่องสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์อยู่นั้นก็คือ การที่หนังพยายามสร้างภาพทุนนิยมให้ดูโหดร้ายอย่างยิ่งยวด เพราะกลไกปลาใหญ่กินปลาเล็กนั้นอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาชาชินที่เราเห็นกันทุกเมื่อเชื่อวัน ใครไม่เข้มแข็งก็ต้องล้มไปเป็นธรรมดา ทว่า มันดูจะไม่ยุติธรรมขึ้นมาสักนิดกับบริษัทเล็กที่ต้องพ่ายแพ้และล้มหายตายจากกันไปหมดอย่างเจ็บปวด ซึ่งเรื่องนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นกับบริษัทของพระเอกเช่นกัน ซึ่งการเกือบล่มจมนี้นั้นเกือบพาให้คนดีอย่างจอร์จ เบลีย์นั้นถึงกับสิ้นหวังฆ่าตัวตายกันไปเลยทีเดียว ที่หนักกว่านั้นคือ หนังแฝงการด่าทุนนิยมเอาไว้หลายฉากยิ่ง เช่นฉากที่จอร์จด่านายทุนเรื่องที่พวกเขาสนใจแต่โกยกำไรไม่สนใจจะช่วยเหลือชาวเมืองสักนิดก็แทบจะเป็นการด่าทุนนิยมไปกลายๆแล้วด้วยซ้ำ 

กระนั้นนั้นก็ไม่ใช่จุดหมายหลักของหนังที่ต้องการจะสื่อให้คนดูได้รับรู้ หนังไม่ได้ต้องการเป็นหนังวิพากษ์สังคมแบบเอาความเจ็บปวดของคนมาเล่น แต่มันเป็นหนังมนุษยนิยมที่มองโลกในแง่ดีอย่างยิ่งยวด ด้วยคำถามที่ว่า What If (จะเกิดอะไรขึ้น) ผมเชื่อว่า หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองประมาณว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโลกใบนี้เราไม่ได้เกิดมา นั้นอาจจะเป็นคำถามที่ดูสิ้นหวังแต่ชวนน่าขบคิดมิใช่น้อยด้วยเหตุผลที่ว่า เราไม่คิดว่า ตัวของเรานั้นสำคัญกับคนอื่นหรือไม่ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลของคนที่สิ้นหวังกับชีวิตและกำลังจะถามฟ้าว่า มันจะเป็นยังไงถ้าเราไม่ได้เกิดมา

นั้นคือคำถามของจอร์จ เบลีย์เช่นกัน

เขาคิดว่า ชีวิตเล็กๆของเขา ชีวิตของชายคนหนึ่งที่เป็นเพียงเจ้าของบริษัทเล็กๆที่กำลังจะติดคุกเพราะข้อหายักยอกทรัพย์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่ได้ทำอะไรที่สำคัญต่อโลกจนมองไม่เห็นค่าเลยแม้แต่นิดเดียว เขาคิดว่า เขาหายไปน่าจะดีที่สุด ซึ่งหนังตบหน้าทุนนิยมอีกครั้งด้วยคำพูดของจอร์จที่พูดว่า ประกันชีวิตของตัวเขามีค่ากว่าตัวของเขาเสีย(ตายมีค่ากว่า) ซึ่งนั้นส่งผลให้เทวดาไร้ปีกมอบช่วงเวลาให้เขาได้เห็นโลกที่เขาไม่ได้เกิดว่า มันเป็นเช่นไร

ที่โลกนั้น จอร์จได้พบว่า น้องชายของเขาตายตั้งแต่ยังเล็กเพราะเขาไม่ได้เกิดมาเลยไม่มีใครช่วย เจ้าของร้านขายยากลายเป็นคนขี้คุกเพราะทำคนตาย ร้านของเพื่อนกลายเป็นของคนอื่น เมืองเล็กๆแห่งนี้กลายเป็นแหล่งบันเทิงเสื่อมโทรมเพราะ เขาไม่ได้อยู่สู้กับเศรษฐีหน้าเลือดคนนั้นทำให้เมืองเปลี่ยนชื่อไปและกลายเป็นอย่างอื่นแทน แถมแม่ของเขาก็อยู่เพียงลำพังไปวันๆ ในขณะที่ภรรยาของเขาก็กลายเป็นแค่สาวทำงานในห้องสมุดเฉิ่มคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าภาพที่เห็นนั้นทำให้จอร์จตัดสินใจที่จะกลับไปยังโลกของเขาแทนเพราะ เขาได้รับรู้แล้วว่า โลกที่ไม่มีเขานั้นเป็นอย่างไร ซึ่งบอกเราให้เรารู้ถึงความสำคัญของคนตัวเล็กๆต่อคนอื่นๆที่ราวกับเป็นลูกโซ่ ซึ่งเสมือนกับระบอบประชาธิปไตยที่มองว่าทุกคนสำคัญเท่ากันหมดนั้นเอง ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะประชาธิปไตยเบ่งบานหลังสงครามโลกได้อีกด้วย

สุดท้ายแล้วหนังจบลงด้วยภาพความซึ้งใจของเหล่าคนที่จอร์จเคยช่วยเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตามทั้งด้านอ้อมหรือด้านตรง พวกเขาเอาเงินรวบรวมมาช่วยเหลือชายผู้แสนดีคนนี้ ภาพที่ทุกคนปรากฏตัวมาช่วยเขานั้นทำจอร์จได้รับรู้ว่า หากก่อนหน้านี้เขาฆ่าตัวตายไปจริงๆ เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นว่า สิ่งที่ตัวเองทำมาตลอดชีวิตนั้นไม่ได้สูญเปล่าเลย ความสุขของเขาไม่ใช่การมีเงินมากมายมหาศาลจนไม่สามารถเอาไปได้เมื่อเสียชีวิตไปแล้วแบบนายทุนหน้าเลือดคนนั้น แต่เป็นการที่ตัวของเขานั้นมีชีวิตแบบคนธรรมดา ตายแบบคนธรรมดา มีความสุขแบบคนธรรมดาทั่วไป และมีชีวิตอยู่รวมกับมิตรสหายที่รักและพร้อมช่วยเหลือเขา คำพูดของน้องชายของเขาที่พูดว่า เขาคือคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเงินทองพวกนั้นแต่เป็นการบอกว่า เขาคือคนที่มีมิตรสหายมากที่สุดในเมืองนี้ต่างหาก

หรือจะเป็นคำทิ้งท้ายจากหนังสือของเทวดาไร้ปีกที่ทิ้งไว้ให้เขาด้านในเขียนไว้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้ได้อย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าคำใดๆ

ถึง จอร์จ

จงจำไว้ว่า ผู้มีมิตรสหายไม่มีวันล้มเหลว

นั้นได้บอกเราให้รับรู้ว่า 

จงอย่าสิ้นศรัทธาในความดีเพราะคนดีไม่มีวันตายอย่างโดดเดี่ยว

 

: It's a Wonderful Life (1946) (Frank Capra) 

ข้อมูลจาก http://pwttas.wordpress.com/2011/12/23/its-a-wonderful-life1946/

 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ