Skip to main content

              เวลาเราเดินไปร้านดีวีดีหรือพวกแผงดีวีดี คุณมักจะเจอหนังหลากหลายประเภทตั้งแต่หนังแอ็คชั่นบู้สุดมัน หนังผีสยองขวัญ ไปจนถึงหนังรักที่ต่างผลิตออกมาขายกันมากมายให้ได้เลือดสอยไปหมด แต่แน่นอนว่า หนึ่งในจำนวนหนังที่เรามักจะเห็นในแผงหนังหรือกระบะลดราคานั้นจะมีหนังประเภทหนึ่งมาให้เสพไม่ขาดสาย

                มันก็คือ พวกหนังเกรดบีนั่นเอง

                ลองดูชื่อหนังเหล่านี้คุณอาจจะถึงกับอุทานคำว่า What the Hell ออกมาเลยก็ได้ เพราะชื่อหนังแต่ล่ะเรื่องก็ทำเอาขึ้นอึ้งแล้วว่า

                คิดได้ยังไงกันฟ่ะ

                ไล่ตั้งแต่ Sharktopus , Sand Shark , Snow Shark , Piranhaconda , Blood Surf , Boa , Anacondas , Deep Rising และหนังอื่น ๆ อีกมากมายที่ต่างพาเหรดกันลงแผ่นเอาใจคนที่ชอบหนังประเภทนี้กันแบบไม่อายใครท่ามกลางสายตาของนักดูหนังคนอื่นที่มองว่า หนังพวกนี้นั้นช่างไร้รสนิยมแท้ แต่ช่างหัวมันปะไรครับ เพราะหนังพวกมันสนุกนี่หว่า

                ที่จริงแล้วหนังเกรดบีพวกนี้ถูกแบ่งแยกขึ้นมานานแล้วครับ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า มันถูกเรียกโดยใครตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่มาเด่นชัดที่สุดคงไม่พ้นหนังของปู่โรเจอร์ คอร์แมน ผู้ได้รับราชาว่า ราชาหนังเกรดบีนั่นเอง

โรเจอร์ คอร์แมนราชาหนังเกรดบี

                หนังของแกหลายเรื่องถูกเรียกจากคนดูหนังรสนิยมหรูทั้งหลายว่า เป็นหนังขยะเกรดต่ำ ที่ไม่ได้ให้คุณค่าศิลปะใด ๆ เลย แน่นอนว่า หาก อัลเฟรด ฮิทช์ค๊อกถูกปรามาสในตอนที่ทำเรื่อง Psycho มากแค่ไหน ปู่แกก็โดนมาเยอะกว่านั่นเสียอีก

                แต่นั่นก็ไม่ทำให้ปู่โรเจอร์ คอร์แมนท้อใจอะไรเพราะ แกรู้ดีว่า ถึงอย่างไรคนดูหนังชั้นสูงก็ไม่ได้มีวันมาดูหนังของแกหรอก ดังนั้นแกจึงมุ่งมั่นผลิตหนังเกรดบีของแกต่อไปเพราะ แกเชื่อว่า หนังแบบนี้ถึงจะมีสภาพการถ่ายทำหรืออะไรที่มันสู้หนังสตูดิโอใหญ่ไม่ได้ ทุนเองก็น้อยกว่า แต่ก็สนองความต้องการของคนดูได้อย่างไร้ขัดจำกัดโดยเฉพาะไอเดียที่พวกหนังเกรดบีนี่เข้าขั้นบ้ากว่าเยอะ

                เอาง่าย ๆ คุณไม่มีทางได้เห็นหนังประเภทฉลามผสมกับปลาหมึกไล่กินคนในหนังเกรดเอทั้งหลายหรอกนะครับ

                นั่นเองที่ทำให้หนังเกรดบีมีเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในหนังเกรดเอทั้งหลาย เพราะความที่มันเป็นหนังที่มุ่งเน้นสนองความบันเทิงของคนดูโดยไม่อิดออดใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะคนดูอยากจะเห็น ตูก็ทำให้เห็นไปเลย

                นี่เองที่ทำให้หนังเกรดบีหลายเรื่องอย่างประทับอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนจนถึงทุกวันนี้

                เอาเฉพาะหนังของปู่คอร์แมนก็มีให้เพียบครับ สำหรับเกรดบีที่หลายคนจดจำ

                ตั้งแต่ปลากินคนใน Piranha

                เจ้าดอกไม้กินคนในหนังเพลงประหลาดล้ำโลกอย่าง The Little Horror Shop

                หรือกระทั่งหนังแข่งรถไล่ยิงกันอย่าง Death Race 2000 เป็นต้น

                แน่นอนว่าหนังเกรดบีไม่ได้จำกัดตัวอยู่แค่เพียงหนังสยองขวัญหรือหนังเชือดเท่านั้น แต่ยังมีหนังเกรดบียังมีแบ่งออกเป็นหนังแอ็คชั่นบ้าง หรือกระทั่งหนังสัตว์ประหลาดก็ยังมี

                อย่างที่บอกไปครับว่า หนังพวกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองคนดูหนังโดยเฉพาะทำให้มีหนังเกรดบีประเภทออกมาให้เพียบ ซึ่งผมจะพาไปสำรวจโลกของหนังเกรดบีกันว่า มีอะไรกันบ้างครับ

1.               Action Movie

                  เวลาที่เราไปเดินตามร้านดีวีดี เรามักจะเห็นหนังแอ็คชั่นที่นำแสดงโดยดาราเกรดสองบ้าง พวกตัวประกอบมีชื่อบ้างอยู่เนื่อง ๆ เราคงเห็นชื่อของอดีตดาราค่าตัวแพงอย่าง ณอง คล็อด แวนแดม , ดอล์ฟ ลุนเกรน , สตีเว่น ซีกัล , คิวบา กู้ดดิ้ง จูเนียร์ หรือ คริสเตียน สเลเตอร์ หรือดาราตัวประกอบที่พอจะมีชื่อหรือคุ้นตาคนดูบ้างอย่าง แดนนี่ เทรโจ , มาร์ค ดาคาลอส ไมเคิ่ล เจย์ ไวท์ หรือกระทั่ง แคสเปอร์ แวนดีน รวมไปกระทั่งการปั้นดาราใหม่ขึ้นมาใหม่เลยอย่าง สก๊อต แอดกิน หรือพวกอดีตซุปเปอร์สตาร์วงการมวยปล้ำอย่าง WWE อย่าง Stone Cold Stave Austin หรือ Dave Batista เองก็ตาม

                หนังพวกนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันอย่างการเล่าเรื่องตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นัก ใครเป็นพระเอกผู้ร้ายเห็นกันในหน้าเดียว ซึ่งเรียกว่า หนังแอ็คชั่นแบบยุค 80 ซึ่งเป็นยุคที่หนังแอ็คชั่นแบบนี้เฟื่องฟูนั่นเอง เพราะเป็นเรื่องราวง่าย ๆ อย่าง หนังคนดีต่อสู้กับคนชั่วเท่านั้น ต่างจากยุคปัจจุบันที่หนังแอ็คชั่นจะซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ไอเดียไปจนถึงมิติตัวละคร

               แน่นอนว่าหนังพวกนี้ค่อนข้างล้าสมัยไปแล้วในยุคปัจจุบันเห็นได้ชัดจากรายได้ของหนังแบบนี้บนจอใหญ่ ซึ่งมีพวกดาราอย่าง อาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์กับ The Last Stand , ซิสเวสเตอร์ สโตนโลนกับ Bullet to the head หรือกระทั่งรุ่นใหม่อย่าง เจสัน แสตรทแทมเองกับหนังอย่าง Parker ก็ไปได้ไม่สวยนักในตารางหนังทำเงินราวกับว่า หนังพวกนี้ไม่เป็นที่ต้องการของคนดูแล้ว

                กลับกันในแผงดีวีดีหนังพวกนี้กลับมีที่ทางของมันอยู่เหมือนเดิม เห็นได้จากจำนวนหนังที่สร้างขึ้นในแต่ล่ะปี เหล่าดาราเกรดรองที่ต่างลงมาเล่นหนังพวกนี้กันอย่างมากมายด้วยเหตุผลที่ว่า หนังพวกนี้ยังมีแฟนตามติดอยู่เหมือนกันสังเกตได้ว่า รายได้ของพวกหนังเหล่านี้มักจะมาจาก DVD หรือพวก Home Entertainment นั่นเอง

              แม้ว่าทุนสร้างอาจจะน้อยเมื่อเทียบกับหนังใหญ่ แต่สิ่งที่หนังแอ็คชั่นเกรดบีทั้งหลายใช้เพื่อทดแทน CG หรือฉากใหญ่ ๆ แบบหนังเกรดใหญ่ก็คือ ฉากบู้แบบดิบ ๆ ที่หนังแอ็คชั่นรุ่นใหญ่ไม่ทำแล้ว (เพราะหันไปเน้น CG กันหมด)

             แน่นอนว่าที่ยังทำเงินได้ทุกวันนี้ก็เพราะ ยังมีคนต้อนรับหนังพวกนี้อยู่เสมอ แม้จะเป็นหนังส่งลงแผ่นก็ตาม

              ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากคุณจะเห็นหนังแอ็คชั่นแบบนี้ในรูปแบบหนังส่งตรงดีวีดีต่อไป

2.               Monster Movie

             สาเหตุที่ผมเลือกที่จะเขียนคอลัมน์นี้ขึ้นมาก็คือ การที่ผมได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Sharktopus หนังสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ระหว่างฉลามกับปลาหมึกที่ดันหลุดจากการควบคุมและออกไล่ล่ากินคน แล้วนึกขึ้นมาได้ว่า เคยมีใครเคยเขียนถึงพวกหนังเกรดบีบ้างไหม

 

             จะว่าไปแล้วถ้าพูดถึงพวกหนังเกรดบีหลายคนย่อมนึกถึงหนังสัตว์กินทั้งหลายก่อนเลยครับ อาจจะเพราะหนังพวกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองคนดูโดยเฉพาะนั่นเอง

             ในประเทศไทย หนังสัตว์กินคนพวกนี้ได้รับความนิยมมากครับ แต่มาได้รับความนิยมสุดขีดก็ไม่พ้นการมาของหนังสัตว์กินคนสองเรื่องในปี 1997 และ 1998 อย่าง Anacondas (เลื้อยสยองโลก) และ Deep Rising (เลื้อยทะลวง 20000 โยชน์) ที่ก่อให้กระแสหนังสัตว์ประหลาดฟีเวอร์ขึ้นในประเทศไทย (และอาจจะโลกด้วย) ที่ทำให้จู่ ๆ มีหนังสัตว์ประหลาดกินคนจำนวนมากพาเหรดเข้ามาในประเทศนี้มากมายทั้งที่เป็นหนังฉายโรงบ้าง หรือ หนังส่งตรงวีดีโอบ้าง

              ความต้องการของหนังสัตว์ประหลาดนั้นมีมากมายในยุคนี้ครับ จนเรียกยุคทองของหนังสัตว์กินคนเลยก็ว่าได้

              เพราะมีกระทั่งปรากฏการณ์เอาหนังส่งลงวีดีโอฉายโรง โปรโมทโฆษณาเก็บเงินคนดูแบบมึน ๆ ก็มีมาแล้วครับ

               แน่นอนว่า หากใครได้ชมหนังพวกนี้บ่อย ๆ จะเห็นสูตรของหนังพวกนี้ว่า มีลักษณะอย่างไร

1.               ตัวละครในหนังเรื่องนี้หลายเรื่องจะเป็นวัยรุ่นหน้าโง่บ้าง นักวิทยาศาสตร์บ้าง ทีมถ่ายสารคดีบ้างที่ชอบไปในสถานที่ที่คนชนบทเขาไม่ไปกันบ้าง และตัวละครต้องมีมากกว่าสี่คนขึ้นไป

2.               ในเรื่องจะต้องมีนักวิทยาศาสตร์บ้าที่สร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาบ้าง พรานบ้าที่อยากล่าสัตว์พวกนี้บ้าง คนโลภที่พาตัวละครไปสู่ภัยพิบัติบ้าง หรือไม่ก็ตัวละครในกลุ่มที่ดันทำบางอย่างให้เจ้าสัตว์พวกนี้ออกมาไล่ล่า

3.               แน่นอนครับว่า หนังพวกนี้จะต้องมีสัตว์ประหลาด ซึ่งมีตั้งแต่ ปลากินคน งู จระเข้ ฉลาม นก ไดโนเสาร์ หรืออะไรก็ได้ที่มันวิ่งไล่กินคนได้จนกระทั่งไปถึงพวกสัตว์ทดลองกลายพันธุ์เองก็เถอะ

4.               สุดท้ายครับจะต้องมีสาว ๆ สวย หุ่นดีมาวิ่งในหนังพวกนี้เสมอ

                 นั่นเองที่ทำให้หนังพวกนี้ถูกมองว่า ไร้รสนิยม สนองนีดส์คนดูและคนทำมากเกินไป แต่เอาเถอะ ในหนังที่เหมือนจะไม่มีข้อคิดอะไรพวกนี้ แต่จริง ๆ แล้วหนังก็มีความคิดง่าย ๆ อย่างทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว โลภมากลาภหาย หรือกระทั่ง การวิพากษ์กองทัพหรือวิทยาศาสตร์กันไปเลย

                 ไอเดียหนังสัตว์ประหลาดหลายเรื่องก็ค่อนข้างตันครับ ถ้าไม่รีเมคกันใหม่ ก็เป็นการเอาสัตว์นู้นนี่นู้นนั้นมาดัดแปลงให้มีความประหลาดกันไป จนไม่น่าแปลกใจที่คุณจะได้เห็น หนังประเภทอย่าง Sharktopus , Sand Shark , Snow Shark . dinocroc , Mega Shark . giant Octopus กระทั่งล่าสุดอย่าง Sharknado

                และเพราะหนังพวกนื้มันขายง่ายและมีคนรอดูอยู่เสมอ ๆ (อย่างเช่นคนเขียนบทความ) จึงไม่น่าแปลกใจที่หนังเกรดบีสัตว์ประหลาดกินพวกนี้จะยังได้รับความนิยมอยู่จนกระทั่ง ณ บัดนี้

 

3.               Slather Movie , Horror movie

                แน่นอนว่า หนังเกรดบีอีกประเภทที่เรามักจะเห็นกันตามแผงบ่อย ๆ ย่อมไม่พ้นหนึ่งในหนัง Genre ที่คลาสสิคอย่าง หนังสยองขวัญไปได้

                ทุนน้อย ขายง่าย กำไรงาม แต่ไร้ศิลปะ ไร้รสนิยม และ หนังขยะ คือสิ่งที่นักวิจารณ์ในอดีตเคยปรามาสหนังสยองขวัญต่าง ๆ เอาไว้กระทั่งการเปิดตัวของ Psycho ของฮิตช์ค๊อกที่ทำให้หนังสยองขวัญไม่ได้เป็นเพียงหนังที่ไร้รสนิยมอีกต่อไปแล้ว

               ทว่าหนังสยองขวัญกลับถูกแบ่งเป็นหนังสยองขวัญเกรดเอ กับ เกรดบี แทน (หมายความว่ายังไง)

                แน่นอนว่า หลายคนก็งงว่า ทำไมถึงแบ่งออกมาเช่นนั้นอาจจะต้องโทษไปที่หนังสยองขวัญทุนต่ำขาวดำเรื่องหนึ่งของผู้กำกับหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้มีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจนขึ้นพอดี

               ครับ ผมกำลังพูดถึงราชาหนังซอมบี้อย่าง จอร์จ เอ โรเมโร่

                ครั้งที่โรเมโร่ทำหนังซอมบี้ขาวดำนั้นเป็นช่วงที่ยุคสตูดิโอได้จบลงไปแล้ว ส่งผลให้มีนักทำหนังหน้าใหม่โผล่มาเรื่อย ๆ ซึ่งโรเมโร่เป็นหนึ่งในนั้นครับ เขาเริ่มต้นจากร่วมกับเพื่อนหาเงินทุนมาทำหนังซอมบี้ด้วยทุนสร้าง 70000 ดอลลาร์ด้วยทุนสร้างที่น้อยนิดบวกกับฟิลม์ขาวดำเพื่อเอาไปฉายในโรงหนังไดรฟ์อินแถวบ้าน แต่ปรากฏว่าหนังดันทำเงินกระจุยกระจายหลังจากตอนแรกฉายแล้วดันโดนด่าส่งผลให้โรเมโร่และพรรคพวกได้มีโอกาสทำหนังซอมบี้กันต่อไปอีกในภายหลัง

                เอาจริงนะครับ หนังสยองขวัญเกรดบีส่วนมากมักจะโดนปรามาสว่า ไร้รสนิยมบ้าง เลือดสาดไปบ้าง รุนแรงบ้าง ไร้สาระบ้างเสมอ ๆ แต่สิ่งที่มันมีตลอดมาก็คือ หนังมันให้ความบันเทิงแบบสุดขั้วจริง ๆ และไม่มีเม้มความโหดกันเลยด้วยซ้ำ ซึ่งใครจะบ้างว่าหนังเกรดบีสยองขวัญพวกนี้นั้นล่ะได้สร้างนักทำหนังชื่อก้องที่ไม่ได้จบเรียนหนังกันมาเลย แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นระดับพระกาฬของวงการภาพยนตร์ไปแล้วอย่าง เจมส์ คาเมร่อนกับหนังอย่าง Piranha 2 ที่มีปลาปิรันย่าบินได้ , แซม ไรมี่กับ Evil dead , ปีเตอร์ แจ็คสันกับ Bad Taste รวมทั้งพวกจอห์น คาร์เพนเตอร์ , เวส คาร์เว่น , สตีฟ ไมเนอร์หรือกระทั่งรุ่นหลัง อีไล รอธก็ล้วนแล้วเกิดกับหนังสยองขวัญเกรดบีพวกนี้ทั้งนั้น

               ทั้ง Nightmare on the elm Street (นิ้วเขมือบ) , Halloween (วันอำมหิต) , Friday night 13th (ศุกร์สิบสามฝันหวาน) ,Scream (หวีดสุดขีด) , Child Play Z (แค้นฝังหุ่น) , Texas Chainsaw Massacre (สิงหาสับ) , Dawn of the dead (ซอมบี้ คนกัดคน) Evil dead (ผีอมตะ) เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสยองขวัญเกรดบีที่ปัจจุบันได้กลายเป็นหนังชั้นยอดของวงการนี้ไปแล้วและมันก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน ทั้งภาคต่อ รีเมคก็แล้วแต่

             แต่ปัจจุบันหนังเชือดแบบยุค 80-90 ลดลงไปมากตามกาลเวลา แต่หนังพวกนี้ก็ยังมีออกมาให้ได้เก็บกันตลอด หรือไม่ก็มีการเล่าเรื่องซับซ้อนมากขึ้นหรือกระทั่งเปลี่ยนรูปแบบของหนังไปเลย

              สรุปก็ คือ หนังสยองขวัญเกรดบีไม่เคยตายจริง ๆ

4.               Mockbuster (หนังล้อเลียน)

                      เวลาไปเดินแผงดีวีดีหรือวีซีดีนั้นเคยสังเกตไหมครับว่า เวลาที่หนังดัง ๆ อย่าง Transformer , Ailen vs Predators หรือแม้กระทั่ง Snow White เข้าฉายโรงนั้น เราจะเห็นหนังหน้าตาแปลก ชื่อคล้าย ๆ บนแผงดีวีดีหรือวีซีดีเสมอ ๆ อาทิ transmorphers , Alien vs Huster , Grimm's Snow White , American Battleships , Battle of Los Angeles , I Am Omega , Hansel & Gretel และอีกสารพัดหนังที่รอให้คนซื้อหยิบผิดซื้อไปชม

                 หลายคนที่หยิบคงต้องร้องจ้ากว่า นี่มันอะไรกันว่ะเนี่ย

                 หลายคนอาจจะมองว่า นี่เป็นการหลอกลวง แต่บริษัทแห่งหนึ่งที่ในฮอลลีวู้ดที่ชื่อว่า Asylum ผู้ผลิตหนังเลียนแบบหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ดที่พวกเขาภูมิใจที่เรียกว่า Mockbuster ที่ล้อชื่อมาจากคำว่า Blockbuster ก็ด้วย

                  หนังพวกนี้ใช้ทุนน้อย แถมใช้ดาราค่าตัวถูกหรือไม่ก็แคสต์มาใหม่กันทำให้ประหยัดทุนสร้างไปได้เยอะ แถมวางขายใกล้กับเวลาหนังดังที่เอาชื่อมาล้อนั่นล่ะครับมาใช้ทำให้สามารถเก็บเงินทำกำไรได้อย่างงามเลยทีเดียว

                  แน่นอนว่า การทำหนังล้อชื่อหนังดังพวกนี้ย่อมไม่พ้นจะโดนฟ้องแน่ ๆ อย่าง กรณีล่าสุดกับหนังเรื่อง American Battleships ที่สุดท้ายแล้ว Asylum ก็ต้องยอมเปลี่ยนชื่อหนัง (แต่ของไทยก็ยังชื่อนี้ หรือกระทั่งหนังอย่าง The Hobbit ที่ใช้ชื่อว่า Age of Hobbit เช่นกันที่ต้องเปลี่ยนชื่อ

                  กระนั้นตัวบริษัทก็ไม่เข็ดยังคงสร้างหนังต่อไปด้วยผลงานอย่าง

                   Jack the giant Killer  และ Apocrypha Earth

                    ปัดโธ่ !!

                   จริงแล้วยังมีหนังอีกหลายประเภทที่ถูกเหมารวมว่า เป็นแค่หนังเกรดบีไม่ว่าจะเป็นหนังฮ่องกงส่งลงวีดีโอที่หลายเรื่องก็กลายเป็นเรื่องคลาสสิคไปแล้วอย่าง ซาลาเปาเนื้อคนเป็นต้น หรือหนังผีญี่ปุ่นต่าง ๆ ที่ถูกสร้างหลังกระแส The Ring และ Ju-on ซึ่งบอกเราว่า วงการนี้ไม่เคยตายเพราะเอาจริง สิ่งสำคัญที่สุดของหนังไม่ว่าจะเป็นเกรดบีหรือเอก็ตาม นั้นอยู่เพียงหนึ่งเดียว

                  ขอให้สนุกก็พอ

                   นั่นคือ สัจธรรมที่แท้จริงของการดูหนังเพื่อความบันเทิงครับ

…..

ป.ล. บทความนี้ยังมีตอนที่ 2 ต่อนะครับ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง นิตยสาร Filmax , Starpics และหนังสือ Filmvirsus ฉบับสางสำแดง 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะ
Mister American
(เนื้อหาบทความนี้อาจะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์)  ผมเชื่อว่าทุกคนเคยมีความฝัน ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ฮีโร่ของญี่ปุ่นอย่าง อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการห้าสีบุกจอโทรทัศน์ หลายคนในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่เฝ้ารอคอยหน้าจอที่สัปดาห์เพื่อจะได้ชมฮีโร่ของตัวเองปราบปรามเหล่าร้ายในหน้าจอที่หวังยึดครองโลก เราได้สนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา บางคนอาจจะถึงขั้นอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะใฝ่ฝันที่จะได้เห็นฮีโร่ตัวจริงด้วยสายตาของตัวเอง  ซึ่งเด็กชายที่ชื่อ ฟิล โคลสัน คือหนึ่งในนั้น
Mister American
ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้าย ของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า