ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับการปรากฏตัวของม๊อบ กปปส ของอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อย่าง นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่พึ่งต่อยอดมาจากม๊อบต่อต้าน พรบ นิรโทษกรรมมาเป็นม๊อบขับไล่รัฐบาลอย่างเต็มตัว ด้วยการชูประเด็น สภาประชาชนและการปฏิรูปประเทศ โดยต่อต้านการคอรับชั่น ทุนนิยมสามานย์ ระบอบทักษิณ และ ต่อต้านการเลือกตั้ง เพื่อทำให้ประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ท่ามกลางกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองหลวง คนภาคใต้ที่เป็นฐานเสียงเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งกลุ่มคนชนชั้นสูงมากมายที่รวมตัวกันจนสื่อต่างประเทศหลายสำนักต่างพากันฉงนสงสัยด้วยความประหลาดใจเมื่อ เหล่าคนชนชั้นสูงและกลางออกมารวมตัวขับไล่และต้องการเรียกร้องสิทธิที่พวกเขาอ้างว่า ถูกคนชนชั้นล่างและคนชนชั้นต่างจังหวัดกดขี่นั้น สร้างความงุนงงให้กับหลายฝ่ายมาก เพราะ การประท้วงเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน
ที่ไม่เคยมีก่อนนั้นหมายถึงการที่คนชนชั้นสูงและคนมีอันจะกินในเมืองรวมตัวออกมาเดินขบวนขับไล่เรียกร้องข้อเสนอจากรัฐที่แตกต่างจากของประเทศอื่น ๆ ที่กลุ่มคนที่จะมาเดินขบวนออกมาประท้วงนั้นมักจะเป็นคนชนชั้นล่างหรือกลุ่มคนชายขอบที่ออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเองหรือการประกาศให้ล่วงรู้ว่า พวกเขาถูกกดขี่อย่างไร
แต่ไม่ใช่กับการประท้วงของกลุ่มคนชนชั้นกลางในเมือง ที่ไม่ว่าจะตะแคงมุมมองทางนั้น เราก็ไม่เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า การถูกกดขี่เลย ยกเว้นเพียงแต่ข้อเสนอสุดโต่งขอบจักรวาลที่ยิ่งทำให้คนชนชั้นล่างรู้สึกถูกกดขี่มากขึ้นไปเสียอีก
และเมื่อชนชั้นสูงแสดงตนว่า ตัวเองกดขี่คนอื่นอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องพร้อมที่จะรับมือกับมวลมหาประชาชนของจริงที่จะออกมาอีกครั้ง เมื่อพวกเขารู้ว่า สิทธิของตัวเองถูกปล้นไปโดยกลุ่มคนที่อ้างว่าคือ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
เมื่อประชาชนถูกกดขี่จนทนไม่ไหว พวกเขาจะลุกขึ้นหยิบจอบหยิบเสียมขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
ซึ่งนั้นแหละคือ จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติการเปลี่ยนการปกครองในหลายประเทศทั้งฝรั่งเศส จีน รัสเซีย หรืออีกหลายประเทศบนโลกที่เกิดการลุกฮือขึ้นของมวลชนคนชนชั้นล่างและสามารถโค่นล้มระบบได้ ต่างจากคนชนชั้นบนของประเทศอื่นที่ต่างยึดโยงติดกับกลุ่มผู้ปกครองและไม่สนใจอันใดนอกจากการเหยียบย้ำพวกเขาให้จมดินไปยิ่งกว่าเดิม
นี่เองที่ทำให้อุดมการณ์เรื่องชนชั้นนั้นถูกฝังอยู่ในหัวของประชาชนในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเหล่านี้ คำพูดที่ว่า ถ้าประชาชนลุกฮือ ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกเขาได้ คือสิ่งที่ได้รับการสั่งสอนและพิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะสาดกระสุนใส่ประชาชนมากเพียงใด หรือควบคุมพวกเขาให้อยู่ด้วยกลัวก็ตาม สุดท้ายและเมื่อประชาชนลุกฮือก็ไม่มีทางชนะ
แน่นอนว่า อุดมการณ์ประชาชนคือ พลังที่ทรงพลานุภาพที่สุด ที่ว่ามานี้ถูกถ่ายทอดลงในแผ่นฟิลม์มานานนับตั้งแต่มีโลกภาพยนตร์มา เรามีหนังที่พูดถึงประเด็นด้านชนชั้นและการปฏิวัติมากมาย เรื่องที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอคือ ภาพยนตร์ Battleship Potemkin ของ Sergei Eisenstein ที่แสดงภาพของเผด็จการที่สั่งปราบปรามประชาชนที่ลุกฮือขึ้นอย่างโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งก่อนจะแสดงให้เห็นว่า สุดท้ายแล้วเผด็จการก็ไม่อาจจะทานทนกระแสของประชาชนไปได้และต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด
แน่นอนว่า นับจากปี 1925 ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายไม่น่าเชื่อว่า เป็นเวลาเกือบ 90 ปีแล้วก็ยังคงมีภาพยนตร์ที่ยังคงพูดถึงการลุกฮือของประชาชนที่มีต่อระบบและชนชั้นเกิดขึ้นมากมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายปีนี้ที่มีภาพยนตร์ที่พูดถึงกลุ่มคนชนชั้นล่างที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านระบบต่อต้านอำนาจ
ภาพของชายสวมหน้ากากเหล็กร่างใหญ่โตนามว่า เบน จากภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight Rise เป็นภาพลุกฮือในภาพยนตร์สมัยใหม่ที่ฉายให้เห็นภาพของอนาธิปไตยอันสมบูรณ์แบบที่ยากจะได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องไหน ภาพของ เบน ชายผู้กระทั่งการล้มล้างระบอบการปกครองในเมืองก๊อตแทมด้วยกำลังทหารที่ล้วนแล้วเป็นประชาชนชนชั้นล่างที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธร่วมมือกับชายผู้นี้เพื่อล้มล้างระบบนั้นถูกฉายให้มีสภาพเป็นผู้ร้ายที่จะต้องถูกแบ็ทแมนปราบ ทว่าเมื่อลองย้อนมองไปยังภาพของชายคนนี้ที่กระทำการเยี่ยงนี้ได้นั้นเพราะ เขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนชนชั้นล่างจำนวนมากที่ต่างไม่พอใจกับกฎหมาย และเศรษฐกิจ รวมทั้งการละเลยทางชนชั้นที่คนส่วนมากต่างหันไปสนใจคนรวยหรือพวกชนชั้นกลางกันมากเกินไปส่งผลให้พวกเขาไม่อาจจะมีความหวังใด ๆ จึงต้องลุกขึ้นจับปืนล้มล้างระบบแทน
แน่นอนว่า เมื่อเรามองเห็นสิ่งที่เบนทำให้ในหนังเรื่องนี้ยิ่งต้องตกใจเพราะ ภาพของกลุ่มคนชนชั้นล่างที่เข้าไปร่วมมือกับเบนนั้นดูช่างน่ารังเกียจ ทั้งสกปรก และดูเป็นผู้ร้ายสมบูรณ์แบบ ต่างจากคนรวยและมั่งมีทั้งหลายที่ถูกสภาประชาชนเบนตัดสินด้วยยึดทรัพย์ที่ได้มาโดยการขูดรีดขูดเนื้อประชาชนและปล่อยให้ไปเดินบนน้ำแข็งที่ไม่รู้ชะตากรรม ด้านหน้าพวกเขาคือ อีกฟากของเมือง หรือ โลกแห่งความตายกันแน่ ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง หนังแสดงให้ถึงความไม่เท่าเทียมกันบนโลกที่บ่งบอกถึงการเลือกข้างของแบ็ทแมน เขาอาจจะไม่ได้ต่างอะไรกับคนรวยที่สุดแล้วก็ต้องเลือกปกป้องคนชนชั้นเดียวกับเขามากกว่าอยู่ดี
สุดท้ายการกระทำของเบนก็ถูกปราบปรามด้วยฝีมือของแบ๊ทแมน พระเอกของเรื่องไปอย่างง่ายดายจนทิ้งปริศนาเอาไว้ว่า ความตรึงเครียดระหว่างชนชั้นล่างและชนชั้นบนของก๊อตแทมจบลงไปหรือยัง
หรือเพียงหยุดแค่ชั่วคราวรอวันปะทุใหม่ที่จะมาถึงเท่านั้น
เบนจึงเป็นผู้นำการปฏิวัติที่ล้มเหลวต่างจากผู้นำการปฏิวัติในโลกภาพยนตร์หลายคนที่ล้วนแต่ประสบความสำเร็จกับการปฏิวัติของพวกเขาทั้งสิ้น
กระโดดข้ามไปในอนาคตในรถไฟที่วิ่งไปรอบโลกอย่างไม่สิ้นสุดท่ามกลางโลกที่ถูกความหนาวเย็นกลืนกินจนหมดสิ้น ไม่มีมนุษย์คนใดอาศัยอยู่นอกขบวนรถเพราะทุกชีวิตที่ออกไปด้านนอกจะต้องทำให้เหลือมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในรถไฟขบวนนี้โดยแบ่งเป็นโซนที่แตกต่างกันไป โบกี้ด้านหลังสุดคือที่อยู่ของกลุ่มคนจนคนชนชั้นล่างที่หนีขึ้นมาอยู่บนรถไฟขบวนนี้โดยต้องถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ มากมายทั้งการต้องกินก้อนโปรตีนที่ทำมาจากแมลงสาบ การต้องถูกพรากลูกของตัวเองไปให้กับคนชนชั้นอื่น การต้องถูกทำร้ายและอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้คนบนรถไฟขบวนนี้ตัดสินใจที่จะก่อปฏิวัติขึ้น โดยการนำของเคอร์ติส หนุ่มหัวขบถที่ต้องการไปให้ถึงบริเวณหัวขบวนเพื่อพบกับ วิลฟอร์ด เจ้าของรถไฟขบวนนี้ที่เป็นเสมือนพระเจ้าของโลกแคบใบนี้โดยการช่วยเหลือของหนุ่มเกาหลีผู้สร้างระบบรักษาความปลอดภัยในรถไฟขบวนนี้นามว่า นัมมิงซู ก่อนที่เคอร์ติสจะได้พบกับความลับที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในรถขบวนคันนี้
เช่นเดียวลอสแองเจลลิสในปี 2154 ชายหนุ่มนาม แม็กซ์ อดีตนักโทษคดีขโมยรถที่หันมาทำงานสุจริตในโรงงานประดิษฐ์หุ่นแอนดรอยให้กับรัฐบาลเพราะเขาหวังจะได้ซื้อตั๋วยานเถื่อนเพื่อที่จะขึ้นไปอยู่บน เอลิเซี่ยม ดาวเทียมวงโคจรนอกโลกที่เป็นเสมือนสรวงสวรรค์ต่างจากบนพื้นโลกที่เป็นนรกบนดินเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและมลพิษจนผู้คนพากันล้มป่วยกันอย่างมากมาย กระทั่งวันหนึ่งแม็กซ์เองก็ได้รับอุบัติเหตุในโรงงาน ร่างกายของเขาถูกรังสีจำนวนมากส่งผลให้อีกไม่กี่วันเขาจะต้องตาย และที่มีที่เดียวที่จะสามารถรักษาเขาได้นั้นก็คือ เอลิเซี่ยม แม็กซ์จึงตัดสินใจร่วมมือกับกลุ่มนักลักลอบส่งคนเข้าเอลิเซี่ยมเพื่อทำการชิงข้อมูลจากชาวเอลิเซี่ยมเพื่อแลกกับตั๋วขึ้นไปบนนั้น ทว่าสิ่งที่แม็กซ์ได้มานั้นกลับเป็นรหัสในการเข้ารีบู้ทระบบของเอลิเซี่ยมใหม่ที่อาจจะทำให้คนบนโลกใบนี้ได้กลายเป็นชาวเอลิเซี่ยมทั้งหมดก็เป็นได้
แคตนิส หญิงสาวจากเขต 12 ซึ่งเป็นผู้ชนะในเกมล่าเกมครั้งที่ 74 ต้องเข้าร่วมการแข่งขันเกมล่าเกมครั้งที่ 75 ที่เป็นการแข่งขันครั้งพิเศษที่นำอดีตผู้ชนะทั้งหมด 12 เขตมาต่อสู้กันเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว ทว่าที่จริงแล้วเกมครั้งที่ 75 นี้เป็นแผนการชั่วร้ายของประธานาธิบดีแห่งพาเทมที่ต้องการทำลายแคตนิสที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของประชาชนผู้ถูกกดขี่ให้สูญสลายไปโดยไม่รู้ว่า ไฟแห่งการปฏิวัติได้ถูกจุดขึ้นมาเสียแล้ว
ครับ นี่คือ ตัวอย่างของสามหนังปฏิวัติในปีนี้ที่เรียกว่า นัดกันมาหรืออย่างไรก็ไม่อาจจะทราบ แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือ หนังทั้งสามเรื่องต่างประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องรายได้และเรื่องคำวิจารณ์กันมากทีเดียวในการสร้างโลกที่เต็มไปด้วยชนชั้นและเผด็จการอันชั่วร้ายที่สยบผู้คนด้วยความกลัว และมอมเมาผู้คนด้วยความสวยงามทั้งการกระทำวาจาจนไม่มีใครกล้าต่อต้านพวกเขา อย่างเช่นใน The Hunger Game ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมอมเมาให้ประชาชนมีสิ่งบันเทิงได้รับชมอีกทั้งยังเป็นตัวทำลายความสามัคคีของเขตต่าง ๆ ทั้งหมดด้วย เพราะแน่นอนว่า คนในเขตหนึ่งที่มีตัวแทนก็ย่อมต้องเชียร์ตัวแทนจากเขตของพวกเขาอยู่แล้ว
ส่งผลให้ทั้งสิบสามเขตไม่อาจจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ และเมื่อไม่สามารถรวมกันได้ก็ไม่อาจจะต่อต้านพวกเขาได้
เข้าสูตรตามทฤษฏีแบ่งแยกแล้วปกครองที่ใช้ได้ผลมาตลอด
ทว่าการมาของหญิงสาวจากเขต 12 ผู้แสดงให้ถึงความพยายามไม่ท้อถอยต่อความยากลำบากและอุปสรรคใด ๆ ทำให้คนทั้ง 12 เขตเกิดความหวังขึ้นมาและเริ่มนำสัญลักษณ์ของเธอไปใช้ในการจุดไฟในสายลม สายลมแห่งการปฏิวัติให้ลุกโชนอีกครั้ง
แน่นอนว่า การมาของเธอทำให้เหล่าคนชนชั้นนำไม่พอใจมากและมองว่า ต้องหาทางกำจัดเธอเสีย ทว่าถ้าสังหารเธอก็ยิ่งเป็นการเร่งอุณหภูมิของการปฏิวัติให้รุนแรงขึ้นอีก (แน่นอนว่า อาจจะถึงการล่มสลาย) นั้นเองที่ทำให้พวกเขาเลือกจะใช้แผนทำลายความหวังเสีย ด้วยการหาทางทำให้คนผิดหวังในตัวของแคทนิสว่า เธอก็ไม่ต่างอะไรกับพวกคนชนชั้นสูงพูดง่าย ๆ ก็คือ ได้ทรยศต่อประชาชนเพื่อทำลายไฟนั้น
โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า กระแสลมแห่งการปฏิวัติมันได้ลุกขึ้นจนเลยตัวของแคทนิสไปเรียบร้อยแล้ว
และการปฏิวัติกำลังจะเริ่มขึ้น
แน่นอนว่าแผนการสร้างความหวังของคนชนชั้นบนนั้นได้เกิดขึ้นในเรื่องของ Snowpiercer เช่นกันเมื่อ เคอร์ติสได้รับรู้ความลับว่า การปฏิวัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่คนชนนั้นบนได้วางเอาไว้ให้พวกเขามีกำลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อรอความหวัง ความหวังที่คนชนชั้นล่างจะเท่าเทียมกับคนชนชั้นบนเป็นเพียงลมปากเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้งที่ใช้เพื่อหลอกให้คนชนชั้นล่างยังมีความหวัง พวกเขาคาดว่าหวังว่าจะใช้ชีวิตในฐานะของคนอย่างเท่าเทียมกัน ฝันจะได้กินอาหารดี ๆ ฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์เหมือนกับคนที่อยู่บนโบกี้หน้า
นั้นแหละครับ คือ สิ่งที่ชนชั้นบนในรถไฟคันนี้วางเอาไว้ การยื่นความหวังให้กับชนชั้นล่างนั้นเอง
และทุกอย่างเป็นไปตามที่ชนชั้นนำกำหนดไว้แม้กระทั่งตัวของเคอร์ติสที่ได้พบว่า ตัวเขาถูกวางเอาไว้ในฐานะผู้นำขบวนรถคนต่อไปที่จะมาแทนที่วิลฟอร์ดในอนาคต
ใช่แล้ว เขาถูกเลือกให้เป็นพระเจ้าของโลกอันแสบคับแคบอันนี้น่ะเอง
แน่นอนว่า เคอร์ติสก็เกือบลุ่มหลงในพลังอำนาจที่ตัวเองกำลังจะได้ไปเหมือนกัน โชคดีที่เขาเรียกสติกลับมาได้และตัดสินใจที่จะทำลายโลกอันคับแคบนี้และเริ่มต้นศักราชใหม่ที่มนุษย์ต้องเดินทางออกนอกรถไฟเป็นครั้งแรก ท่ามกลางแสงแดดของวันใหม่
และโลกใหม่ที่ไร้ซึ่งการเหยียดผิว ชนชั้น และ กฎเกณฑ์ มันคือ โลกที่มนุษย์อยู่กับธรรมชาติและโชคชะตาแห่งความเสรีภาพอันแท้จริง
ตอนจบของเอลิเซี่ยมก็ช่างคล้ายคลึงและตั้งคำถามต่อโลกใบนี้ได้น่าสนใจ โลกของเอลิเซี่ยมก็ไม่ได้ต่างไปจากโลกของ Snowpiercer เพราะเป็นโลกที่มีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดแจ้ง คนรวยมั่งมีอาศัยอยู่บนเอลิเซี่ยม ดาวเทียมวงโคจรนอกโลกที่ทุกชีวิตอยู่อย่างมีความสุขด้วยอากาศที่ดี ชีวิตที่สุขสบายและที่สำคัญก็คือ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความตายอีกแล้วบนดาวดวงนี้ ที่นี่จึงเป็นเหมือนสรวงสวรรค์ที่คนบนพื้นโลกอันแสนแร้นแค้นและอัตคัดมองว่า มันช่างเป็นสวรรค์สวยงามยิ่งนัก
ต่างจากบนโลกที่ไม่ต่างอะไรกับนรกบนดิน ผู้คนอยู่อย่างอดอยากกับทั้งมลพิษที่มนุษย์ทิ้งเอาไว้ ลองแองเจิลลิสกลายเป็นเมืองทรุดโทรมเต็มไปด้วยความตายและเชื้อโรค เอลิเซี่ยมจึงเป็นสถานที่ที่คนชนชั้นล่างฝันอยากจะไปตลอดมา
แน่นอนว่า ถ้าพูดถึงสาเหตุสำคัญของการปฏิวัติในครั้งนี้คงไม่พ้นความไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่คนชนชั้นบนเอลิเซี่ยมกระทำต่อมนุษย์ชนชั้นล่างราวกับไม่เป็นคน ในขณะที่พวกเขาผูกขาดเทคโนโลยีล้ำยุคที่สามารถรักษาโรคทุกโรคได้อย่างกับปาฏิหาริย์คนชนชั้นล่างกับต้องมานั่งรอการรักษาพยาบาลแบบเก่าที่รักษากันแบบตามยถากรรม กินยาราคาถูก ๆ นอนพักฟื้นที่บ้านและรอความตาย
นั่งมันเปรียบเทียบถึงระบบทุนนิยมของชนชั้นบนที่มีต่อคนชนชั้นล่างได้น่าสนใจ ในขณะที่คนชนชั้นล่างจะต้องรักษาอาการป่วยอย่างอนาถาและไร้ประสิทธิภาพ คนรวยในเมืองกลับเข้าถึงระบบสุขภาพได้อย่างง่ายดาย พวกเขาสามารถรักษาอาการป่วยต่าง ๆ ได้อย่างง่าย ๆ และมีประสิทธิภาพ ในเอลิเซี่ยมนั้นถึงขนาดชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้เลยด้วยซ้ำไป
มันช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินเสียจริง ๆ
แน่นอนว่า ในสายตาของคนชนชั้นบนนั้นต่างมองคนชนชั้นล่างเป็นเพียงเฟืองชิ้นหนึ่งที่เมื่อพังก็มีเฟืองตัวใหม่เข้ามาแทนที่ได้เสมอ พวกเขาไม่สนใจว่า คนงานของเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะทุกข์ร้อนหรือไม่ พวกเขาจะได้รับความลำบากหรือบาดเจ็บหรือไม่
พวกเขาไม่เคยสนใจ
นายทุนพวกนี้สนใจเพียงแค่ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้กำไรของพวกเขาน้อยลงก็พอ เราจึงเห็นนายทุนของแม็กซ์ในเรื่องที่พูดออกมาอย่างแล้งน้ำใจว่า เนื้อของแม็กซ์จะไม่หลุดมาเปื้อนเตียงใช่ไหม เพราะ เขาไม่อยากเสียเงินซื้อ เตียงใหม่ นั้นแหละครับคือ ภาพสะท้อนให้เห็นว่า นายทุนพวกนี้ไม่เคยมองคนชนชั้นล่างเป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกเขาเลยสักครั้ง ยิ่งทัศนคติของรัฐมนตรีกลาโหมแห่งเอลิเซี่ยมที่เรียกคนชนชั้นล่างที่พยายามจะหนีเข้ามาในดาวเทียมนี้ว่า พวกมัน ยิ่งบ่งบอกถึงทัศนคติเหยียดชนชั้นที่พวกชนชั้นสูงพูดถึงคนชนชั้นล่างอย่างไร้ค่า
และทำให้พวกเขาต้องได้พบกับการต่อต้านจากคนชนชั้นล่างที่แสนด้อยค่าอย่าง แม็กซ์ ที่ในที่สุดเขาก็ปฏิวัติประชาชนได้สำเร็จ ภาพของยานช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลของเอลิเซี่ยมที่ลงไปยังพื้นโลกและช่วยเหลือคนที่ได้รับบาดเจ็บและป่วยอย่างเอื้ออาทรโดยการสละชีวิตของแม็กซ์ที่เปิดกว้างฟ้าใหม่ให้กับโลกใบนี้
และให้เราได้ตั้งคำถามต่อไปว่า
ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
ระบบของเอลิเซี่ยมอาจจะถูกรีบู้ทอีกครั้ง หรือ ความเท่าเทียมในสังคมนี้จะเกิดขึ้น เราไม่อาจจะรู้ รู้เพียงแค่ว่า เส้นทางของการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นด้วยพลังของประชาชนผู้ถูกดขี่ที่ชนชั้นบนทั้งหลายต่างดูถูกมาตลอดเวลา แต่เอาจริงแล้วพวกเขากลัว
กลัวชนชั้นล่างเหล่านี้จะลุกฮือขึ้นสักวัน
เหมือนเช่นจักรวรรดิจีนอันเรืองอำนาจก่อนปีค.ศ. 1911 จักรพรรดิของจีนนำโดยราชวงศ์ชิงได้ปกครองประเทศท่ามกลางการฉ้อราษฎร์บังหลวงของราชวงศ์ที่ต่างเสพสุขกับเงินตราและของไร้ประโยชน์ ขณะที่ประชาชนตัวเล็ก ๆ ต้องทนทุกข์ทรมานกับความหิวโหย ความแห้งแล้ง ส่งผลให้คนชนชั้นล่างรวมตัวปฏิวัติจีนหลายครั้ง แต่ไม่อาจจะประสบความสำเร็จได้สักครั้ง กระทั่งการมาของด๊อกเตอร์ซุนยัดเซนที่รวมมือกับสหายของเขาทั้งในและนอกประเทศช่วยกันทำสงครามปฏิวัติจนในที่สุดประชาชนก็ได้รับชัยชนะ
แม้จะมีการหลั่งเลือดมากมาย และมีคนบริสุทธิ์ตายเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายเผด็จการราชสำนักจีนก็ต้องถึงคราพ่ายแพ้ด้วยพลังของประชาชนที่ลุกหือขึ้นในที่สุด
แน่นอนว่า บทสรุปของหนังแนวปฏิวัติในยุคสมัยนี้นั้นล้วนแล้วแต่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเผด็จการ อาจจะไม่ถึงกับเห็นภาพการล่มสลายกันตรง ๆ แต่เราเห็นเค้าลางแห่งการล่มสลายได้ชัดแจ้ง หรือบางเรื่องอาจจะจบลงด้วยการจุดไฟแห่งความหวังให้กับประชาชน
แต่รวม ๆ แล้วมันมีวลีที่สามารถพูดได้ว่า คือ ประเด็นหลักของหนังเหล่านี้ได้
คำพูดชายสวมหน้ากากนามว่า V ที่กล่าวถึงประชาชนผู้ถูกดขี่จากอำนาจเผด็จการว่า
“ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาล แต่รัฐบาลต่างหากที่ควรจะกลัวประชาชน”
และบัดนี้ฟืนกองเล็ก ๆ กำลังจะถูกจุดให้เป็นไฟที่โหมกระหน่ำและบอกให้เผด็จการใดบนโลกล้าไปรับรู้ว่า ประชาชนไม่ได้โง่เง่าอย่างที่ท่านคิดอีกแล้ว
แม้สายลมจะแรงเพียงใด การจุดไฟในสายลมก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
…...