Skip to main content

            การปรากฏตัวของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส ที่ต่อยอดมาจากกลุ่มต่อต้านนิรโทษสกรรมฉบับเหมาเข่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นำโดยอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปปัตย์ อย่าง นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อันประกอบด้วยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดิม กลุ่มอภิสิทธิชนในกรุงเทพ และ ฐานเสียงของพรรคประชาธิปปัตย์ในภาคใต้ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรเดิมได้รวมตัวเข้าขับไล่รัฐบาลที่นำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนกระทั่งนางสาวยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้ว ทว่า กลุ่ม กปปส ก็ยังไม่ยุติการเคลื่อนไหว พวกเขายังคงเสนอข้อเสนอที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ตามกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญทั้งการบังคับให้นางสาวยิ่งลักษณ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรักษาการ ทั้งการพยายามตั้งสภาประชาชนขึ้นมาโดยไม่อิงบทรัฐธรรมนูญ ทั้งพยายามให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป และความพยายามที่จะนำคนไปปิดกั่นของกลุ่ม คปท หรือ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของ กปปส ได้ก่อให้เกิดการปะทะกันในช่วงหลายวันมานี้ที่มีการรับสมัครส.ส. บัญชีรายชื่อหรือ ปาร์ตี้ลิสต์ และสถานการณ์มารุนแรงเอาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมาเมื่อเกิดการปะทะกันอีกครั้งและทำให้ตำรวจเสียชีวิตหนึ่งรายและบาดเจ็บอีกนับสิบรายเลยทีเดียว และความบ้าคลั่งยังเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนมีการปิดถนนวิภาวดีเมื่อช่วงเย็นและส่งผลให้มีแท็กซี่ถูกทำร้ายด้วยความคลุ้มคลั่งของผู้ชนเหล่านี้ และความคลั่งยังมีขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความสิ้นหวังและโกรธแค้นของประชาชนอีกฝ่ายที่ส่งผลให้หลายคนต่างมองหาทางจบ บางคนเรียกร้องว่าอยากได้ฮีโร่สักคนมาช่วยยุติความขัดแย้งนี้ลงเสียที

                แน่นอนว่า ฮีโร่เป็นสัญลักษณ์ของความหวังในโลกที่แสนสิ้นหวัง ผมเชื่อว่าทุกคนในประเทศต่างมีความหวังว่าจะมีฮีโร่ขี่ม้าขาวสักคนมากู้สถานการณ์นี้ ทว่ากลับมีคำกล่าวเอาไว้ว่า สังคมใดที่มีฮีโร่ปรากฏย่อมหมายความว่า สังคมนั้นกำลังอยู่ในสภาพที่ง่อยเปลี้ยทางกฎหมายอย่างที่สุด เพราะ เอาจริงฮีโร่คือ สัญลักษณ์ของสิ่งที่อยู่เหนือกฎหมาย บุรุษผู้ตั้งตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม แต่ทว่าพวกเขากลับไม่ได้รับอำนาจที่ชอบธรรมในการพิทักษ์ความสงบ ซึ่งเรียกง่าย ๆ ก็คือ อำนาจนอกระบบหรือเรียกสั้น ๆ ก็คือ ศาลเตี้ยนั่นเอง

                หลายคนบอกว่าการมีฮีโร่เป็นเรื่องที่ดี หลายคนบอกว่า ถ้าโลกนี้มีฮีโร่จริง ๆ เราคงรู้สึกปลอดภัยแต่ตรงกันข้ามหากคุณเป็นแฟนหนังหรือหนังสือการ์ตูนก็มักจะรู้ว่า โลกที่มีฮีโร่ไม่ใช่โลกที่สงบสุขอย่างที่ใครคาดการณ์ไว้ แต่มันเป็นโลกที่แสนวุ่นวาย เปรียบเสมือนระเบิดปรมาณูที่พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าวันใดหนึ่งจะมีใครมาทำลายโลกหรือไม่

                หากไม่สามารถนึกออกว่า สังคมที่อำนาจพิเศษพวกนี้มีตัวตนนั้นจะเป็นสภาพสังคมหรือโลกแบบไหน คงไม่มีหนังเรื่องใดที่สามารถทำให้เราเห็นภาพของสังคมที่ฮีโร่ครองเมืองได้ชัดแจ้งที่สุดย่อมไม่พ้น Watchmen ผลงานภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ของผู้กำกับ Man of Steel อย่าง แซ็ค ชไนเดอร์ ที่ดัดแปลงมาจากกราฟฟิคโนเวลระดับตำนานของนัดเขียนชาวอังกฤษนาม อลัน มัวร์  ที่สร้างเรื่องของซุปเปอร์ฮีโร่ที่บอกเล่าถึงความมืดมนของสังคมได้อย่างน่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะการนำฮีโร่ทั้งหลายมาปลอกเปลือกเสียสิ้นจนมองเห็นเนื้อในที่ช่วยให้เราได้รู้ว่า เหตุใดเราจึงไม่ควรฝากอนาคตและอำนาจของเราให้กับพวกอำนาจพิเศษเหล่านี้

                เพราะ ไม่มีซุปเปอร์ฮีโร่คนใดที่ควรค่าแก่การได้รับอำนาจอภิสิทธิ์แบบนั้นเลยสักคน

                เรื่องราวของ Watchmen เกิดขึ้นในโลกยุคสงครามเย็นที่ตั้งโจทย์ว่าจะเกิดขึ้นถ้า โลกใบนี้มีซุปเปอร์ฮีโร่ขึ้นมาจริง ๆ จะเป็นอย่างไร ซุปเปอร์ฮีโร่ในเรื่องนั้นส่วนมากมักจะเป็นคนธรรมดาที่มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่พอใจในสภาพสังคมที่เหลวแหลกจากอาชญากรรมและโจรผู้ร้ายที่มากมาย พวกเขาจึงปรากฏตัวขึ้นมาแล้วออกไล่ล่าจับผู้ร้ายแบ่งเบาภาระของตำรวจกันจนตั้งกลุ่มขึ้นมาหลายกลุ่ม จนกระทั่งการมาของซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ๆ จริง ๆ อย่าง ด๊อกเตอร์แมนฮัตตัน ชายผู้มีพลังพิเศษที่สามารถเปลี่ยนสสารให้เป็นสิ่งใดก็ได้ ซึ่งการมาของเขาได้ทำให้สหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในการทำสงครามเวียดนาม (ซึ่งในโลกแห่งความจริง อเมริกาแพ้) ส่งผลให้โลกโซเวียตนั้นเกิดความกลัวในตัวของด๊อกเตอร์แมนฮัตตันและอเมริกามากขึ้นจนสถานการณ์ยิ่งตึงเครียดไปกันใหญ่ เท่านั้นไม่พอริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีของอเมริกาในตอนนั้นกลับชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สามส่งผลให้ความกลัวต่อวันสิ้นโลกเกิดขึ้นไปทั่วโลก แน่นอนว่าในเมืองเองก็ตามอย่างนิวยอร์คนั้นเองก็เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นเมื่อชายอายุ 67 ปีนามว่า เอ็ดเวิร์ด เบลค ได้ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตด้วยการฆาตกรรมนั้นเองที่ทำให้เพื่อนฮีโร่ร่วมขบวนการของเขานาม รอว์ชาร์ด เข้ามาสืบเรื่องราวการตายของเบลคก่อนจะพบว่า มีใครบางคนกำลังตามเก็บฮีโร่อย่างพวกเขาอยู่ ด้วยเหตุนี้รอว์ชาร์ดจึงออกเดินทางไปพบกับฮีโร่ในกลุ่ม Watchmen ที่ยังเหลือรอดอยู่เพื่อเตือนเรื่องการฆาตกรรมนี้ โดยที่รอว์ชาร์ดไม่รู้ว่า การฆาตกรรมครั้งนี้จะนำไปสู่จุดจบของโลกอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

                ชื่อของ Watchmen ซึ่งเป็นชื่อของกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้เกิดขึ้นจากนิทานปรัมปราในอดีตของโรมันกล่าวว่า ในสงครามหนึ่งชาวโรมันได้เกณฑ์ประชาชนจากหัวเมืองประเทศราชของตัวเองไปรบ แน่นอนว่า พวกผู้ชายที่ไปรบต่างแสดงความเป็นห่วงเมื่อพวกเขาต้องจากบ้านไปไกล ๆ พวกเขาห่วงภรรยาและลูก ๆ ของเขาจะอยู่ไม่ได้และไม่ปลอดภัยหากต้องอยู่กันตามลำพังแบบนั้น แน่นอนว่านายกองชาวโรมันรู้ถึงความกังวลนี้ของคนในหัวเมืองประเทศราช พวกเขาเลยบอกพวกนั้นว่า พวกเขาได้จัดส่งทหารโรมันมาดูแลลูกเมียของพวกเขาให้แทนแล้ว ทว่าคำตอบนั้นกลับยิ่งสร้างความกังวลกับประชาชนในประเทศราชที่รบอย่างยิ่งพวกเขาถามนายกองชาวโรมันว่า

                “แล้วใครจะดูพวกทหารกันเล่า ?”

                คำถามนี้ได้แสดงให้เราเห็นว่า คนในประเทศราชนั้นหวาดระแวงชาวโรมันมากกว่าพวกศัตรูที่กำลังจะไปรบเสียอีกนั้นย่อมบอกเราให้รู้ว่า อำนาจของชาวโรมันถูกตั้งข้อสงสัยเสียแล้ว

                แน่นอนว่า คำพูดนี้ได้กลายเป็นคำถามที่ม๊อบตำรวจได้ตั้งคำถามต่อสังคม เมื่องานของพวกเขาถูกพวกฮีโร่สวมหน้ากากเหล่านี้ยึดไป ส่งผลให้ตำรวจที่เป็นผู้รักษากฎหมายรู้สึกว่า ความชอบธรรมของตัวเองถูกขโมยไปโดยฮีโร่หน้ากากเหล่านี้เสียแล้ว นั้นเองที่ทำให้พวกเขาผลักดันนโยบายต่อต้านฮีโร่หน้ากากร่วมทั้งประท้วงพวกฮีโร่เหล่านี้ไปด้วย

                และคำพูดที่พวกเขาใช้ในการปลุกระดมสังคมให้หันมามองและตั้งข้อสงสัยแก่ศาลเตี้ยเหล่านี้ก็คือ

                Who Watch The Watchmen ? (ใครจะตรวจสอบพวกว๊อชเม้นท์)

                แน่นอนว่าคำพูดคำนี้มันมีความหมายในเชิงตั้งคำถามว่า ทุกอำนาจบนโลกนี้จำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบ

                พูดง่าย ๆ ก็คือ อำนาจที่ประชาชนสามารถตรวจสอบได้และมาอย่างถูกกฎหมายและไม่ได้เป็นอำนาจพิเศษที่มีอำนาจล้นฟ้าอยากจะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความผิดแบบนี้

                แน่นอนว่า Watchmen ได้สร้างสภาพสังคมสุดเลวร้ายที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกนาที พร้อมกับสร้างเหล่าฮีโร่ทั้งหกคนขึ้นมาเป็นตัวแทนของอำนาจพิเศษและมนุษย์ว่า ถ้าสังคมปกครองด้วยอำนาจพิเศษเหล่านี้ สังคมจะมีลักษณะเป็นอย่างไร ?        

                The Comedian

                จะว่าไปแล้วเรื่องราวของ Watchmen จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย ถ้าไม่การตายของชายคนนี้ ชายผู้มีนามว่า เอ็ดเวิร์ด เบลค หรือฉายาในวงการซุปเปอร์ฮีโร่นามว่า คอมมีเดี้ยน ชายผู้ดูเหมือนชีวิตของเขาจะสนุกสนานกับการทำเรื่องชั่ว ๆ อยู่ตลอดเวลา เขาคนนี้เป็นฮีโร่ที่ทำงานให้แก่รัฐบาลในการทำเรื่องหลายอย่างตั้งแต่ฆ่าคนชั่วตามใบสั่ง สลายชุมนุมตำรวจ หรือกระทั่งรับงานไปยังเวียดนาม ซึ่งคอมมีเดี้ยนก็ทำงานได้อย่างดีและดูเหมือนเขาไม่มีความสำนึกใด ๆ ทั้งสิ้นกับการกระทำนั้น ๆ เขาสามารถยิงผู้หญิงที่กำลังท้องได้อย่างง่ายดาย ซึ่งดูเผิน ๆ แล้ว ชายคนนี้แทบไม่มีความเป็นฮีโร่ใด ๆ เลย เขานั้นเป็นเพียงคนชั่วที่สวมหน้ากากแล้วมีแบ็คหนุนจนทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างถูกกดหมายเท่านั้น

                ทว่า ชื่อในนามของเขา ซึ่งมีความหมายตัวตลกนั้นกลับกลายเป็นตลกร้าย เมื่อเอาจริงแล้ว คอมเมเดี้ยน เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่รู้สึกซึ้งว่า โลกใบนี้มันโหดร้ายกว่าที่คิด เขาคิดว่า การทำตามหน้าที่ไปเรื่อย ๆ น่าจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ แต่เอาจริงแล้วกลับไม่ได้ เขาเลยตัดสินใจว่า จะเลวให้ถึงที่สุด ชั่วร้ายที่สุด เพราะสิ้นหวังกับโลกใบนี้ไปนานแล้ว แน่นอนความคิดแบบชั่วสุดโต่งของเขานั้นกลับพลิกมาทำร้ายเขาอย่างที่สุด เขารู้สึกว่า ตัวเองเป็นเหมือนนักแสดงตลกในเรื่องเล่าขำขันที่รอว์ชาร์ดเล่าในเรื่องว่า “มีชายคนหนึ่งไปหาจิตแพทย์เพราะ โรคซึมเศร้า แพทย์แนะนำให้เขาไปดูการแสดงของตลกชื่อดังที่มาเปิดการแสดงในเมืองนี้ เป็นการแสดงที่ขำแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ชายคนนั้นฟังแล้วบอกกับแพทย์คนนั้นว่า  หมอครับ ผมนี่แหละนักแสดงตลกคนนั้น”

                มันช่างเป็นตลกร้ายที่ฟังแล้วคือ การเล่าเรื่องคอมมีเดี้ยน ชายชั่วที่บังเอิญรู้สึกสิ้นหวังกับโลกจนตัดสินใจที่จะทำตัวเหมือนไม่มีจิตใจ แต่เอาจริงแล้วเขากลับเป็นคนที่อ่อนไหวและรู้สึกได้ถึงสำนึกผิดชอบชั่วดีอย่างที่สุด ไม่แปลกใจที่สุดท้ายชายคนนี้จะร่ำไห้กับชีวิตของตัวเองต่อหน้าของศัตรูคู่อาฆาตของเขา คนที่เขารู้สึกว่า ใกล้เคียงกับเพื่อนของเขามากที่สุด นั่นบ่งบอกถึงความคับข้องใจอย่างที่สุดที่ชายคนนี้ได้รับจากโลกใบนี้

                แน่นอนว่า สังคมแบบคอมเมเดี้ยนเป็นใหญ่นั้นคือ สังคมที่มีแต่ความรุนแรง สังคมอนาธิปไตย ที่ใช้ความรุนแรงเป็นหลัก แน่นอนว่า การทำแบบนี้สังคมจะมีแต่เพียงผู้แข็งแกร่งที่สุดคือ ผู้อยู่รอด เป็นสังคมที่คนอ่อนแออยู่ไม่ได้ พูดง่าย ๆ คือการอยู่แบบสัตว์ป่านั้นเอง สังคมที่อำนาจแบบนี้เป็นใหญ่ไม่มีทางจะสงบสุขและล่มสลายลงไปพร้อมกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งทั่วถนน

                Rorschach

                เรื่องราวของ Watchmen นั้นถูกบอกเล่าโดยฮีโร่คนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนสิ่งยึดเหนี่ยวของคนดูที่มีต่อเรื่องราว ชายคนนี้คือ ฮีโร่ใส่หน้ากากนามว่า รอว์ชาร์ด ที่แม้มีกฎในการห้ามสวมหน้ากากเป็นฮีโร่แล้วก็ตาม เขาก็ยังแอบปฏิบัติการอยู่เนื่อง ๆ และการตายของคอมมีเดี้ยนนี้ได้ทำให้เขาเกิดความสงสัยว่า กำลังมีคนคิดจะเก็บพวกฮีโร่อยู่ แต่เก็บเพื่ออะไรแล้วยังไง เขาจึงเดินทางไปเตือนเพื่อน ๆ ในกลุ่มและสืบคดีเองตามลำพังจนกระทั่งแน่ชัดแล้วใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง เขาจึงจับคู่กับ ไนท์อาวท์ คู่หูของเขาเดินไปจัดการผู้อยู่เบื้องหลังนั้นด้วยกัน

                ชื่อจริงของรอว์ชาร์ด คือ วอเตอร์ โจเซฟ โควัค พื้นฐานครอบครัวของเขาค่อนข้างย่ำแย่ พ่อแม่ของเขาเลิกกันและมองเขาเป็นตัวซวยตั้งแต่เด็ก ทำให้เขานั้นขาดความอบอุ่นจากครอบครัวและรู้สึกได้ถึงความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ เมื่อโตขึ้น เขาจึงสวมหน้ากากออกปฏิบัติการไล่ล่าคนชั่วในนามของ รอว์ชาร์ด รวมกับไนท์อาวท์อยู่เนื่อง ๆ จนกระทั่งแยกตัวจากไนท์อาวท์ไปและปฏิบัติการเพียงลำพัง

                รอว์ชาร์ดเป็นเสมือนด้านกลับของแบ๊ทแมน เขานั้นเป็นชายที่รู้สึกว่า โลกใบนี้มีความชั่วร้ายอยู่และกฎหมายไม่อาจจะมอบความยุติธรรมให้ได้ (พูดง่าย ๆ คือ รอว์ชาร์ดมองว่า กฎหมายนั้นล้มเหลว) การเป็นฮีโร่ของเขานั้นเป็นการบอกว่า เขาไม่อาจจะศรัทธาในกฎหมายนี้แล้ว เขาจึงออกเป็นศาลเตี้ยเสียเอง เขาจึงเป็นพวกที่เกลียดความไม่ถูกต้องชนิดสุดโต่ง เป็นพวกที่เชื่อว่า โลกใบนี้มีสีขาวและสีดำชัดแจ้ง เขาจึงไม่อาจจะทนเฉยกับความผิดนั้น ๆ ได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อยก็ตาม เขาออกจัดการพวกมันชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน เรียกว่า รอว์ชาร์ดไม่มีความประนีประนอมใด ๆ กับความชั่วเลย

                แน่นอนว่า เมื่อถึงจุดเปลี่ยนในตอนท้ายที่ผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่คนจำนวนมากได้เผยให้เห็นโลกที่คำโกหกหลอกลวงว่า ด๊อกเตอร์แมนฮัตตันเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่คนทั่วโลก ทำให้โลกที่เกือบเกิดสงครามโลกหันมาสามัคคีกัน แน่นอนว่าฮีโร่หลายคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มีเพียงรอว์ชาร์ดที่ไม่เห็นด้วย เพราะเขารู้ว่า นี่คือการทำผิดต่อคนทั่วโลกที่ตายและการเอาคนดีมาเป็นแพะเพื่อให้โลกสงบสุขก็ไม่ใช่ความถูกต้อง ทว่า ความไม่ยอมของเขาก็ทำให้รอว์ชาร์ดต้องตายเพราะ ถ้าเขายังอยู่ความลับนี้อาจจะแตกและทำให้ผู้คนกลับมาสู้รบกันอีกก็เป็นได้นั่นเอง

                แน่นอนว่า สังคมแบบรอว์ชาร์ดนั้นเป็นสังคมที่มีความดีและความชั่วถูกแบ่งแยกกันเป็นขั้วอย่างชัดเจน เป็นสังคมสุดโต่งที่เชื่อมั่นว่า โลกนี้มีความดีความชั่วเป็นภาพขาวดำ สังคมแบบนี้เป็นสังคมในฝันของใครหลายคน ทว่ามันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความไม่มีประนีประนอมใด ๆ เมื่อผิดเล็กน้อยอาจจะถึงขั้นลงโทษ มันเป็นสังคมที่แบบเผด็จการสุดขั้วอย่างหนึ่ง สังคมแบบรอว์ชาร์ดจึงเป็นสังคมที่อาจจะมีความปลอดภัยสูง (เพราะ ความชั่วจะถูกลงโทษแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน) แต่กระนั้นก็เป็นสังคมที่อึดอัดจนแทบไม่มีการแสดงออกใด ๆ และเมื่อมนุษย์ไม่อาจจะแสดงออกใด ๆ ได้มันก็ต่างกับระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อเหมือนกัน

                Ozymandias

                ถ้าไม่นับด๊อกเตอร์แมนฮัตตันที่เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของแท้แล้วล่ะ ชายผู้มีนามว่า อ๊อกซีแมนเดียสนี้น่าจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากฉายาว่า ชายที่ฉลาดที่สุดในโลกแล้วเขายังมีพละกำลังมหาศาลและฝีมือต่อสู้ฉกาจอีกต่างหาก เขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ระดับโลกที่ครอบครองธุรกิจหลายอย่าง แต่ที่มากกว่านั้นก็คือ เขานี่แหละคือ ที่ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดโดยเฉพาะการสังหารคอมมีเดี้ยน และ การสังหารคนนับล้านแล้วโยนขี้ไปให้ด๊อกเตอร์แมนฮัตตันรับบาปไปนั่นเอง

                แน่นอนว่า อ๊อกซีแมนเดียส ทำแบบนี้ไปด้วยเหตุผลที่เขาอ้างว่า ถ้ามีศัตรูร่วมกัน มนุษย์จะกลับมาสามัคคีกันได้ เขาจึงวางแผนที่จะโยนบาปให้ด๊อกเตอร์แมนฮัตตัน ชายที่หลายคนนับถือว่าเป็นพระเจ้าไป แน่นอนแผนการของเขาประสบความสำเร็จ แม้จะต้องแหลกมาด้วยความตายของคนจำนวนมากก็ตาม โลกก็กลับมาสามัคคีกันอย่างที่เขาว่าจริง ๆ

                ทว่ามันก็เป็นความจริงจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้นอุปโลกน์ไว้ก็เท่านั้นเอง

                และหากเมื่อใดความจริงถูกเปิดโปงทุกอย่างก็พังทลายไปเหมือนกัน

                จะว่าไปแผนการของอ๊อกซิแมนเดียสนั้นก็คล้ายกับแบ๊ทแมนใน The Dark Knight อยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะการสร้างเรื่องโกหกขึ้นเพื่อให้คนเชื่ออย่างหนึ่งโดยไม่สนใจว่า คนคนหนึ่งจะต้องได้รับความผิดบาปอย่างไร แต่สิ่งที่อ๊อกซิแมนเดียสต่างไปจากแบ๊ทแมนคือ เขาไม่ใช่คนที่รับบาปนั้น (เพราะ อ๊อกซิแมนเดียสโยนบาปให้ด๊อกเตอร์แมนฮัตตัน) และ อ๊อกซิแมนเดียสไม่ได้ทำเพราะอยากให้สังคมมันดีหรอก แต่เขาทำเพราะ เขาจะได้ผลประโยชน์มหาศาลในฐานะวีรบุรุษต่างหากเล่า

                แน่นอนว่า คนอย่างอ๊อกซิแมนเดียสนั้นแสดงถึงทัศนคติแบบผู้เหนือกว่าผู้อื่น อาจจะเพราะสถานะของเขาในฐานะมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก และมีทรัพย์สินมากมายพอจะซื้อบริษัททั้งโลกมาเป็นของตัวเองมาทำลายเล่นชนิดขนหน้าแข้งไม่ร่วง ความที่เหนือกว่าชาวบ้านมาตลอดนั้นได้ทำให้อ๊อกซิแมนเดียสมีความคิดแบบนาซีขึ้นมา ประมาณว่า คนอื่นเป็นเพียงวัวควายไร้ค่าที่ต้องการผู้นำที่ทั้งฉลาดและแข็งแกร่งแบบเขา ดังนั้นการกระทำของเขาจึงถูกทำขึ้นเพื่อให้ตัวเองขึ้นสู่อำนาจต่างหาก

                สังคมแบบอ๊อกซิแมนเดียสนั้นเป็นสังคมที่ผู้คนมีแต่ความเห็นแก่ตัว เป็นสังคมที่คนที่มีฐานะทางสังคมมากกว่าแสดงอาการเหยียดหยามผู้อื่น มองคนอื่นด้อยกว่า โง่กว่า ตลอดเวลา และคิดว่า ไม่มีใครดีไปกว่าตัวเอง เก่งกว่าตัวเอง ฉลาดกว่าตัวเอง สังคมแบบอ๊อกซิแมนเดียสจึงเป็นสังคมที่มีแต่ความเลื่อมล้ำ การเหยียบย้ำเสียงส่วนใหญ่แบบไม่สนใจใคร ใครจะทำอะไร มีกติกาอย่างไร ช่างหัวมัน จะเอาแบบนี้ การปกครองแบบที่ตัวเองได้ประโยชน์แบบที่สุด โดยไม่สนใจว่าใครจะได้ผลกระทบอย่างไร เขาไม่สนใจ เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็มีแค่ ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น สังคมนี้จึงเป็นสังคมที่ถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ ก็จะตามมาด้วยการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

                เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศต่าง ๆ มาแล้ว

                เมื่อคนไม่อาจจะทนการดูถูกถ่มถุยจากคนชนชั้นนำได้ การปฏิวัติจึงเกิดขึ้น

                Silk Spectre II

                ซุปเปอร์ฮีโร่หญิงเพียง 1 เดียวในทีมของ Watchmen  เป็นหญิงสาวที่สืบทอดชื่อนี้มาจากแม่ของเธอที่ซุปเปอร์ฮีโร่หญิงคนนี้มาก่อน ซึ่งเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่มีความฉุนเฉียว ชอบความท้าทาย ทำอะไรตามใจตัวเอง เบื่อหน่ายง่ายดาย สังเกตการที่เธอเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น ชอบคนนี้ เบื่อคนนี้ ไม่แน่นอนจนหลายคนยังเอือมระอากับเธอไม่ใช่น้อย แน่นอนว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ เธอเป็นอีกคนที่มองว่า สันติภาพจอมปลอมของอ๊อกซิแมนเดียสเป็นเรื่องที่ควรทำและไม่ได้เอ่ยปากห้ามไม่ให้ด๊อกเตอร์แมนฮัตตันสังหารรอว์ชาร์ดด้วย แถมเธอกับไนท์อาวท์ แฟนใหม่ของเธอก็ยังใช้ชีวิตกันอย่างสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก

                แน่นอนว่า สังคมของซิล สเป็คเตอร์ นั้นเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการใช้อารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผล สังเกตได้จากตัวของซิล สเป็คเตอร์นั้นเป็นพวกที่มีนิสัยเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแบบผู้หญิง ซึ่งนั้นแหละที่ทำให้รู้สึกว่า เธอมันงี่เง่าใช่เล่น การเป็นฮีโร่ของเธอไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ต้องการผดุงความยุติธรรมอะไรหรอก เธอก็แค่เบื่อและหาอะไรท้าทายเล่นก็เท่านั้นเอง และการที่เธอเข้าไปคบกับฮีโร่คนอื่น ๆ ทั้งด๊อกเตอร์แมนฮัตตัน หรือกระทั่ง ไนท์อาวท์ ก็เกิดขึ้นจากนิสัยที่ชอบคนเก่งของเธอนี่ล่ะ โดยที่หลังจากเจ้าตัวก็จะเลิกกับพวกเขาไปอย่างด้วยเหตุผลต่าง ๆ มากมายนั่นแหละ

                นิสัยของซิล สเป็คเตอร์นั้นสะท้อนภาพของคนในสังคมที่ใช้อารมณ์นำมากไปโดยปราศจากการไตร่ตรองทางความคิด ประมาณว่า ก็ฉันชอบแบบนี้ใครจะทำไม โดยไม่ทันได้คาดคิดว่า มันจะนำผลร้ายหรือข้อเสียมาในอนาคตหรือเปล่า เธอก็ไม่สนใจ แต่แน่นอนว่า ความที่เธอเปลี่ยนแปลงอะไรเร็วมากไปทำให้เธอนั้นไม่มีความศรัทธาใด ๆ กับใครเลย ซึ่งนิสัยแบบนี้มีแต่สร้างความวุ่นวายให้สังคมไป เพราะ การใช้อารมณ์ที่ไม่ได้ไตร่ตรองนั่นเอง

                Dr. Manhattan

      

                ด๊อกเตอร์แมนฮัตตัน เป็นตัวละครที่อยู่ตรงกันข้ามกับซิล สเป็คเตอร์อย่างเห็นได้ชัดแจ้ง ถ้าซิล สเป็คเตอร์คือตัวแทนของอารมณ์ที่ทำอะไรโดยไม่ใช่เหตุผลแล้วก็คือ ด๊อกเตอร์แมนฮัตตันก็คือ ตัวแทนของตรรกะหรือเหตุผลอย่างแท้จริง ชายคนนี้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของจริงที่มีพลังพิเศษจริง ๆ การปรากฏตัวของเขานั้นทำให้พวกฮีโร่หลายคนรู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็นตัวตลกแล้ววางมือกันไปหมด ด๊อกเตอร์แมนฮัตตันนี้เป็นคนที่ช่วยให้อเมริกาชนะสงครามเวียดนามมาได้อย่างขาดลอย ทว่า การมาของเขาก็ทำให้เกิดความหวาดระแวงขึ้นไปมากกว่าเดิมเสียอีกจนมีข่าวแว่ว ๆ ว่าจะเกิดนิวเคลียร์ถล่มโลกขึ้น

                แน่นอนว่า ด้วยความที่ด๊อกเตอร์แมนฮัตตัน เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่สามารถเปลี่ยนสสารรอบตัวให้เป็นอะไรก็ได้ตามใจนึก สามารถแยกร่างออกมาได้หลาย ๆ ร่าง ยืดขยายขนาดร่างกาย จนกระทั่งปล่อยพลังทำลายล้างเมืองได้ รวมทั้งมองเห็นอดีตและอนาคตได้อีก เรียกว่าเป็นพระเจ้าของแท้เลยด้วยซ้ำ ทว่า เพราะตัวเองมองเห็นหรือรู้อะไรทุกอย่างมากเกินไปก็ทำให้เขาค่อย ๆ สูญเสียความเป็นคนไปทีล่ะน้อยจนไม่เหลือแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกด้วยซ้ำ ครั้งหนึ่งด๊อกเตอร์ แมนฮัตตันได้อยู่ในเหตุการณ์ที่คอมเมเดี้ยนกำลังจะยิงปืนใส่ร่างของสาวชาวเวียดนามที่ท้องเพราะ คอเมเดี้ยนเอง แน่นอนว่า ด๊อกเตอร์แมนฮัตตันพยายามห้ามไม่ให้เขาฆ่าเธอ ทว่าก็ไม่อาจจะห้ามได้ แต่ว่าคอมเมเดี้ยนกลับหันมาต่อว่า ด๊อกเตอร์แมนฮัตตัน เพราะ เห็นเหตุการณ์อยู่แบบนั้นแต่กลับทำได้แค่ห้ามทั้ง ๆ ที่เขาสามารถเปลี่ยนกระสุนเป็นอะไรก็ได้ หรือจะกันให้เธอคนนี้ก็ได้ แต่เขากลับไม่ทำ ย่อมแสดงทัศนคติของด๊อกเตอร์แมนฮัตตันแล้วว่า เขาคิดและมองอย่างไรกับมนุษย์คนอื่น ๆ ได้ชัดแจ้ง

                แน่นอนว่า สังคมแบบด็อกเตอร์แมนฮัตตันนั้นเป็นสังคมที่น่าจะสงบสุขที่สุด เพราะทุกคนต่างใช้เหตุผลในการอยู่ดำรงชีวิต ไม่มีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้น ทว่า สังคมที่ไม่มีอารมณ์นั้นก็ไม่เป็นสังคมที่ไม่ได้ต่างอะไรกับหุ่นยนต์เท่าไหร่นัก มันเป็นสังคมที่ผู้คนไม่มีใครสนใจอะไรกัน ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความรู้สึก เป็นสังคมที่ด้านชาต่อกัน แม้ว่าการไม่มีอารมณ์เน้นเหตุผลจะเป็นเรื่องดี แต่จะทำให้สังคมมีเย็นชากันมากขึ้น ผู้คนไม่มีความรู้สึกอะไรกัน เป็นสังคมที่ไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป และอีกไม่นานก็คงจะล่มสลายไปไม่เหลือแม้กระทั่งจิตวิญญาณ

                Nite Owl

                แน่นอนว่า ถ้ามองหาบุคคลที่เรียกว่า คนดี ในสังคมได้อย่างเต็มปากเต็มคำนั้นก็คงหนีไม่พ้นชายที่มีชื่อว่า แดน ไดเบิร์ก หรือ ไนท์อาวท์รุ่นที่ 2 ซุปเปอร์ฮีโร่หนุ่มที่มีความสามารถด้านการประดิษฐ์สิ่งของและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้ง อาวุธยันเครื่องบินเพื่อใช้การปฏิบัติการของตัวเอง ไนท์อาวท์ เป็นชายหนุ่มที่เข้ามาเป็นฮีโร่เพราะต้องการสร้างสังคมที่สงบสุข พิทักษ์ความยุติธรรม เขาเป็นชายที่มีอุดมคติอย่างทำสังคมให้ดีขึ้น ถ้าเรียกตามที่อาจารย์ธงชัย วนิจกุลกล่าวไว้ ไนท์อาวท์เป็นนักอุดมคติครับ แน่นอนว่า เขาเป็นคนที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพ และมองโลกในแง่ดี ชีวิตหลังถอดหน้ากากของเขาก็คือ เปิดอู่ซ่อมรถ และใช้ชีวิตด้วยการไปนั่งคุยเรื่องความหลังกับไนท์อาวท์รุ่นแรก นั้นยิ่งบอกว่า ชีวิตของเขาดูเรื่อยเปื่อยไม่ใช่น้อยกระทั่งต้องกลับมาสวมหน้ากากอีกครั้งหนึ่งเพราะ การตายของคอมเมเดี้ยน

                เอาจริงแล้วดูเผิน ๆ เหมือนไนท์อาวท์จะเป็นคนดีที่มีสติสุดในเรื่องนี้ แต่ว่าเขากลับเป็นตัวแทนของระบบคนดีที่ไร้ความสามารถ เพราะอย่างที่เห็นชีวิตของเขาหลังการถอดหน้ากากมันช่างซังกะตายอย่างแท้จริง เขาใช้ชีวิตไปวัน ๆ เหมือนกับคนเกษียณอายุราชการ ทั้งการไปกินเหล้า คุยความหลังสมัยเป็นฮีโร่กับคนอื่น การเจอเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน นั้นแหละคือ สิ่งที่ไนท์อาวท์ เป็นเขารู้สึกว่าตัวเองแทบเข้ากับใครไม่ได้ จึงใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ ไม่ไปเกะกะใคร ไม่ขวางทางใคร หากเปรียบกับการเมืองของไทยก็ไม่ต่างกับไทยเฉยดี ๆ นั้นเอง เป็นกลุ่มคนที่ไม่คิดจะทำอะไร ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่ปกป้องสิทธิของตัวเอง ไม่ทำอะไรเพราะคิดว่า ทำไปเดี๋ยวเดือดร้อนเปล่า ๆ แน่นอนว่าสังคมแบบไนท์อาวท์เป็นสังคมที่ผู้คนอาจจะไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครแบบสังคมอื่น ๆ แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันคือสังคมที่จะไม่มีการพัฒนาใด ๆ สังคมที่คนแบบนี้ปกครองจะเป็นสังคมที่ไม่มีความเด็ดขาดใด ๆ ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าชน ไม่กล้าที่จะทำเรื่องถูกต้อง ก็เป็นสังคมที่สุดท้ายไม่อาจจะปกครองตัวเองได้เพราะทำได้แค่ตัวเฉยหรือสลิ่มไปตลอดทางเท่านั้น

                โดยรวมแล้วสรุปก็คือ โลกของ Watchmen เป็นโลกคู่ขนานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตั้งคำถามว่า ถ้าสังคมถูกปกครองด้วยอำนาจพิเศษเหล่านี้จะเป็นอย่างไร อย่างที่เห็นไม่ว่าสังคมที่มีคนแบบไหนปกครองก็ล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป เพียงแต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นสังคมใด สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ พวกซุปเปอร์ฮีโร่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมนุษย์ป่วยจิตที่น่าจับไปให้จิตแพทย์ทั้งหลายได้ตรวจสอบกันอย่างถ้วนหน้า และยิ่งบ่งบอกว่า ฮีโร่พวกนี้เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

                และช่วยบอกเราว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์

                ไม่มีใครไม่มีข้อดี ไม่มีใครไม่มีข้อเสีย ทุกคนต่างมีจุดดีจุดด้อยต่างกัน และช่วยตอกย้ำว่า โลกใบนี้หลากหลายและไม่มีทางที่จะสงบได้ภายใต้อำนาจที่นอกระบบอำนาจใดอำนาจหนึ่ง

                ดังนั้นต้องพูดว่า อำนาจพิเศษทั้งหลายอาจจะเกิดขึ้นจากการที่สังคมนั้น ๆ ง่อยเปลี้ยจนไม่สามารถหาทางออกได้ก็จริง ทว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องพูดว่า ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองที่ใช้ไม่ได้

                ทั้งที่เอาจริงระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอาจจะไม่ใช่ระบบการปกครองสมบูรณ์แบบที่สุด แต่เป็นการปกครองที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีได้ในตอนนี้ ประชาธิปไตยที่ทำให้คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นผู้ยากมากดีหรือคนรวยล้นฟ้าหรือซุปเปอร์ฮีโร่มีสิทธิเสียงเท่ากัน

                อาจารย์ธงชัย วนิจกุล กล่าวไว้ในภาพยนตร์เรื่อง ประชาธิปไทยว่า “ระบอบประชาธิปไตยนั้นระบอบเดียวที่ให้เราลองผิดลองถูกได้ เสียหายอย่างไร ประเทศก็ไม่ล่ม ไม่ต้องฆ่ากัน ระบอบที่หวังว่าจะมีคนดีมานำประเทศให้รุ่งเรืองนั้น มันเป็นแค่ความเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ ของอำนาจนิยมกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง”

                และที่สำคัญประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้เราตรวจสอบคนต่าง ๆ ที่เข้ามาบริหารประเทศได้อย่างเข้มข้น ต่างจากระบบอื่นที่แทบปิดโอกาสไม่ให้มีการตรวจสอบ

                เหมือนเช่นซุปเปอร์ฮีโร่ในเรื่องนี้ที่ต่างเกิดขึ้นเพราะตั้งตัวเองขึ้นมาพิทักษ์ความยุติธรรมทั้ง ๆ ที่บางคนมาเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ก็เพราะ อยากจะระบายอารมณ์บ้าง อยากแสวงหาอำนาจบ้าง น้อยนักที่อยากมาเปลี่ยนแปลงหรือช่วยเหลือสังคมจริง ๆ นั้นเองที่ส่งผลให้ตำรวจที่มีอำนาจนี้เหมือนถูกริดรอนสิทธิและตัดสินใจเดินขบวนเพื่อต่อต้านฮีโร่หน้ากากเหล่านี้นั้นเอง

                อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ ได้กล่าวว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ปกครองมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชี้เป็นชี้ตายให้กับคนในสังคม โดยไม่มีอำนาจตรวจสอบได้แล้ว หายนะจะมาสู่ประชาชน ฉะนั้นจงอย่าเชื่อ เมื่อผู้นำบอกเราว่า "มอบอำนาจให้กับเขาเถอะ เพราะเขาเป็นตัวแทนของความดี เขาเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด"”

                ดังนั้นคำว่า Who Watch the Watchmen จึงเป็นเสมือนการบอกว่า ทุกระบบต้องมีการตรวจสอบนั่นเอง

                ตราบใดที่มีการตรวจสอบย่อมแสดงว่า อำนาจสูงสุดของประเทศคือ ประชาชนจริง  ๆ

                ไม่ได้อยู่ในมือของอำนาจใดอำนาจหนึ่ง

                อย่างเช่นใน Watchmen ที่แม้ว่าทุกคนจะถูกหลอกด้วยเรื่องโกหกของอ๊อกซิแมนเดียสในตอนท้าย ทว่าความหวังก็ยังไม่ได้สิ้นสุด สมุดบันทึกของรอว์ชาร์ดได้ถูกส่งไปยังหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งแล้ว พร้อมกับดาราคาวบอยคนหนึ่งประกาศลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี

               โลกที่ต่างไปจากเดิมนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่คือความหวัง

               ความหวังนี่แหละคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เรายังคงสามารถอยู่ในโลกอันแสนโหดร้ายได้ต่อไป

                ในสังคมที่วุ่นวาย แต่อำนาจยังคงอยู่กับประชาชน ประชาธิปไตย

                เราก็ยังคงมีความหวังอยู่แม้เส้นทางรอบข้างจะมืดมืดเพียงใดก็ตามที

                ความหวังก็ไม่มีทางสิ้นสูญลงไปได้

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ