Skip to main content

            บางระจัน บางระจัน บางระจัน ไม่อาจยืนอยู่ทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง บางระจัน บางระจัน บางระจัน ไม่อาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง

          เสียงเพลงปลุกใจจากวงดนตรีเพื่อชีวิตชื่อดังอย่าง คาราบาว กลายเป็นเพลงอันน่าจดจำเมื่อถูกฉายคู่กับภาพยนตร์เรื่อง บางระจัน ผลงานการกำกับของ ธนิตย์ จิตนุกูล ในปี 2543 ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นปลุกใจที่ทำเงินได้มหาศาลถึง 100 ล้านบาท แถมยังได้มีโอกาสไปฉายทั่วโลก แน่ล่ะว่า นั่นคือ จุดเริ่มต้นของบรรดาหนังชาตินิยมที่ถูกสร้างขึ้นมามากมายในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะผลงานแห่งสยามประเทศอย่าง สุริโยทัย หรือ กระทั่ง ตำนานที่ไม่จบสิ้นเสียอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่มีการสร้างต่อเนื่องมาจนถึงภาค 6 แล้วก็ตาม แม้จะทำเงินน้อยลงไปตามลำดับแต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ชาตินิยมที่ขายได้เสมอในประเทศไทยแห่งนี้

                แน่ล่ะว่า ยิ่งปัจจุบันนั้นมีการหยิบ บางระจัน บทประพันธ์ของไม้เมืองเดิม มาทำใหม่เป็นละครโดยสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ในตอนนี้ การมาของละครเรื่องนี้นั้นได้มาพร้อมกับวิวาทะอันน่าสนใจ เมื่อตัวละครนั้นพูดถึงชาตินิยมอันข้นคลั่กซึ่งไม่เข้ากับช่วงเวลาที่เรากำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเลยแม้แต่น้อย (กระนั้นผู้สร้างได้จงใจเปลี่ยนจากพม่าไปเป็นอังวะแทน) กระนั้นเองเนื้อหาสาระของละครก็ยังพูดถึงความรักชาติของชาวบ้านที่ต้องปกป้องแผ่นดิน การพูดถึงความอ่อนแอของรัฐ สถาบันไปจนถึงเรื่องราวขุนนางที่เลวร้าย หนังยังคงพูดถึงภาพเดิม ๆ ของบางระจันในตำราเรียนของเราเสมอ ๆ โดยมีเรื่องราวของตัวละครอื่นสร้างเสริมขึ้นมาเพื่ออรรถรสเท่านั้น

                แน่ล่ะว่า การมาของบางระจันนั้นได้กลายเป็นวิวาทะที่น่าสนใจเมื่อบรรดานักประวัติศาสตร์ต่างให้แง่มุมถึงบางระจันในแง่ที่แตกต่างกันไป พวกเขาบอกว่า เอาจริงแล้ว บางระจันไม่ได้ปกป้องอยุธยา หรือ ชาติไทย (ซึ่งยังไม่มีกำเนิดเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ) เพียงแต่ว่า พวกเขาปกป้องบริเวณดินแดนของเขาเท่านั้น อย่างที่ อ. สุเนตร ชุตินธรานนท์ ได้กล่าวไว้ว่า ชาวบางระจันนั้นไม่ได้ปกป้องอยุธยาเพียงแต่ปกป้องตัวของพวกเขาเอง อันเนื่องจากทัพของพม่านั้นจะเข้ามากวาดต้อนทรัพยากรในบริเวณนั้น แน่ล่ะว่า คำอธิบายนี้ไปสอดคล้องกับนักประวัติศาสตร์หลายท่านที่ยืนยันว่า ความเข้าใจในเรื่องบางระจันของคนไทยนั้นยังมีความคลาดเคลื่อนและเข้าใจผิดอันเนื่องจากบทเรียนที่ถูกสอนกันมาโดยรัฐนั่นเอง

                ทว่า คำอธิบายเหล่านี้และหลักฐานที่น่าเชื่อกลับไม่ใช่สิ่งที่คนไทยบางส่วนชอบใจนัก หลายคนมองว่า การศึกษาเรื่องเล่านี้ทำลายภาพที่ถูกสร้างมาของพวกเขาหมดสิ้น บ้างก็ด่าทอโจมตีนักประวัติศาสตร์เหล่านั้นกันแบบไร้เหตุผล จนหลายคนมองว่า ประวัติศาสตร์ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเสียแล้ว

                ทั้ง ๆ ที่เอาจริงแล้วประวัติศาสตร์นั้นเป็นเพียงข้อเขียนที่ถูกบันทึกและศึกษาสืบต่อกันมาเพื่อให้เข้าใจถึงอดีตของชาตินั้น ๆ ด้วยซ้ำ แน่ล่ะว่า เมื่อเป็นงานวิจัยนั้นย่อมหมายความว่า เมื่อมีหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือได้ก็ย่อมที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

                เพียงแต่ว่า ประเทศของเรานั้นยังมีสภาพที่ดึงประวัติศาสตร์ไว้เป็นของสูง แตะต้องไม่ได้ และกลายเป็นเครื่องมือชาตินิยมในการทำลายผู้อื่นและผู้เห็นต่างไปในที่สุด

                ไม่ชอบเรื่องนี้ไม่รักชาติ หรือ กระทั่งเห็นต่างคือการไม่รักชาติเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ได้อย่างน่ากังขายิ่ง

                แน่ล่ะว่า มันถูกโยงว่า ประวัติศาสตร์ในไทยแตะต้องไม่ได้ไปเสียนี่ ทั้งที่เอาจริงแล้วประวัติศาสตร์สามารถมองตีความในเชิงต่าง ๆ ได้เสมอ ๆ เมื่อเราเทียบกับประวัติศาสตร์ชาติอื่นที่นำมาทำให้ป๊อปและมีความเข้าถึงตัวคนมากขึ้น ไม่สิ อย่างน้อยก็ทำให้มันสามารถวิพากษ์และจับต้องได้มากกว่า

                ครับผมกำลังยกตัวอย่างของประเทศที่หยิบจับประวัติศาสตร์มาเปลี่ยนวัฒนธรรมป๊อปได้อย่างยอดเยี่ยม

                นั่นคือ ญี่ปุ่นครับ

                อย่างที่เราทราบ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นชาตินิยมสูงมาก กระนั้นสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขาไม่ได้หยิบประวัติศาสตร์ไว้บนหิ้ง แต่เขาปล่อยให้ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่สามารถแตะต้องได้และนำมาดัดแปลงใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ในมุมมองที่แตกต่างกันไป

                แน่ล่ะว่า ในขณะที่ผมกำลังเขียนบทความอยู่นี้นั้นได้มีอนิเมะที่ดัดแปลงมาจากเกมคอมพิวเตอร์ชื่อดังออกฉายอยู่ตอนนี้ และได้เป็นหนึ่งในอนิเมชั่นที่มีคนติดตามรอคอยมากที่สุดในปีนี้ครับ

                เรื่องนั้นก็คือ Kantai Collection

          Kantai Collection หรือเรียกกันว่า Kancole เป็นเกมออนไลน์ชื่อดังที่มาในรูปแบบการ์ดแบบแผนการรบโดยค่าย Kadokawa Game ที่ออกให้บริการมาประมาณสามสี่ปีเห็นจะได้ และแนวคิดของมันต่างจากแนวการ์ดอื่น ๆ ก็ตรงที่บรรดาการ์ดของเรานั้นคือ เรือรบในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่นที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นสาวน้อยโมเอะที่มีรูปลักษณ์และหน้าตาแตกต่างกันไปครับ แน่ล่ะว่า ความสนุกและการออกแบบสาว ๆ จากเรือรบนั้นเป็นที่ถูกใจของบรรดาโอตาคุเป็นอันมาก และความนิยมของมันก็โด่งดังมากจนมีคำเรียกบรรดาเกมเมอร์ทั้งหลายที่ติดเกมนี้ว่า ป่วยเรือกันไปทีเดียว นั่นยังส่งผลให้เกมนี้ถูกพัฒนาไปเป็นมังงะ โดจิน หรือ กระทั่ง ไลท์โนเวลที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเหมือนกัน และอย่างที่เห็นมันถูกดัดแปลงเป็นอนิเมชั่นไปแล้ว

 

(ภาพจากในเกมของ Kantai Collection)

 

                แน่ล่ะว่า เนื้อหาของฉบับอนิเมชั่นนั้นเกี่ยวข้องกับ สาวน้อยนามว่า ฟุบุกิ สาวน้อยผู้มีจิตใจของเรือรบในอดีตได้เดินทางมาประจำการในโรงเรียนกองทัพเรือที่ทำหน้าที่ต่อสู้กองเรือใต้ทะเลลึก ศัตรูของมวลมนุษยชาติที่ครอบครองทะเลแห่งนี้อยู่และผู้ที่จะเอาชนะพวกนั้นได้ก็คือ เหล่าสาวน้อยผู้มีจิตวิญญาณของเรือรบ นี่คือ เนื้อหาของอนิเมชั่นเรื่องนี้ครับ

                ต้องบอกว่า เนื้อเรื่องของอนิเมชั่นเรื่องนี้นั้นเป็นไปตามขนบของอนิเมชั่นแนวสาวน้อยที่มาก่อนหน้านี้อย่าง Strike Witch ที่หยิบจับเครื่องบินและนักบินในช่วงสมัยสงครามโลกมาดัดแปลงเป็นสาวน้อยเพื่อสู้กับสัตว์ประหลาดต่างมิติที่มาบุกโลกของเราจนทำให้มนุษย์ที่ควรจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องร่วมมือกันต่อสู้กับพวกนี้แทน เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่เนื้อหาของมันหยิบจับช่วงเวลาสงครามโลกมาดัดแปลงได้อย่างแนบเนียน เปลี่ยนศัตรูจากบรรดาสัมพันธมิตรไปเป็นมนุษย์ต่างดาวแทน

                และผลของมันคือ ไม่ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นแทน

                อนิเมชั่นได้พาเราไปรู้จักกับตัวละครหลักในเรื่องได้แก่ ฟุบุกิ สาวน้อยผู้มีความฝันอยากจะเป็นเรือรบที่เก่งกาจพอที่จะอยู่เคียงข้าง รุ่นพี่อาคากิ ผู้แสนอ่อนโยนให้ได้ ทว่าตัวเธอนั้นนอกจากทฤษฏีในห้องเรียนแล้วการปฏิบัติของเธออยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างยิ่งยวด กระนั้นเธอก็ไม่ยอมแพ้และพยายามฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นโดยมีบรรดาเพื่อน ๆ รุ่นพี่ของเรือรบต่าง ๆ ให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ รวมทั้งผู้การด้วยคอยดูการเติบโตของสาวน้อยคนนี้เช่นกัน

                ครับ ต้องบอกว่า เป็นงานอนิเมชั่นที่ดำเนินเรื่องไปตามที่หลายคนคาดเดาได้ ทว่าสิ่งที่ทำให้อนิเมชั่นเรื่องนี้ถูกพูดถึงกันคือ เมื่อตอนที่ 3 ของมันได้ออกฉายและทำการจมเรือ หรือ ฆ่าตัวละครทิ้งไปต่อหน้าต่อตา

 

(คิราซากิตอนจมลงสู่ก้นทะเล ภาพจาก Kantai Collection Ep.3)

 

                ตัวละครนั้นคือ คิราซากิ สาวน้อยอ่อนโยนที่ถูกยิงและจมลงไปในที่สุดตามประวัติศาสตร์เดียวกับเรือรบชื่อเดียวกันนี้เสียด้วยซ้ำ

                นั่นเองที่ทำให้บรรดานักดูอนิเมชั่นทั้งหลายพากันตะลึงว่า เอาจริงเหรอกับการจมเรือโชว์แบบนี้ แน่ล่ะว่า มันได้บอกเราว่า เนื้อหาของเรื่องนี้ผูกติดกับสิ่งที่ประวัติศาสตร์นั่นเองและทำให้หลายคนพากันไปศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนั้นกันอย่างยิ่งยวด ว่า ต่อจากนี้อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้

                เรือลำไหนจะจม จะรอด แน่ล่ะว่า Kantai มีส่วนช่วยให้บรรดาวัยรุ่นยุคใหม่หันไปศึกษาประวัติศาสตร์มากขึ้น หลายคนที่ชมเรื่องนี้หรือเล่นเกมนี้นั้นมีความเข้าใจและเก่งกาจด้านข้อมูลประวัติศาสตร์ส่วนนี้กันข้นคลั่กเลยทีเดียว แถมบางคนยังต่อยอดงานค้นคว้ากันต่อไปจนมีงานวิจัยต่าง ๆ ออกมาอีกเรียกได้ว่า การเปลี่ยนเรือรบและประวัติศาสตร์อันน่าเบื่อหน่ายกลายเป็นเรื่องน่าค้นหาและสนุกสนานของวัยรุ่นได้อย่างตรงจุดทีเดียว

 

(โอดะ โนบุนะ หรือ โอดะ โนบุนากะ จอมคนแห่งยุคเซ็นโกคุที่ถูกแปลงเป็นหญิงในไลท์โนเวลเรื่อง Oda nobuna no yabou)

 

                และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของญี่ปุ่นที่หยิบจับประวัติศาสตร์น่าเบื่อ หรือ สิ่งที่เข้าไม่ถึงให้ตรงจุดหมายของพวกเขา เราได้เห็นงานมังงะชื่อดังหรือโนเวลต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นมากมายและมีแง่มุมตีความเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่าง ๆ กันไม่ว่าจะเป็น Light Novel เรื่อง oda nobuna no yabou หรือ จอมนางอหังการ โนบุนะ ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของ Sengoku โดยเอาโอดะ โนบุนากะให้เปลี่ยนเพศกลายเป็น สาวน้อยผมทองที่มีความฝันอยากรวบรวมแผ่นดิน เนื้อหาของเรื่องนี้นั้นพาเรากระโจนไปพร้อมกับตัวเอกหนุ่มที่กลายเป็นทหารของโนบุนะในการรวบรวมประเทศและทำให้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์มากขึ้น ในเชิงการตีความที่ต่างออกไป แน่ละว่า โนเวลเรื่องนี้โด่งดังจนมีอนิเมชั่นออกมาและเนื้อหาก็ใกล้จะถึงจุดสุดท้ายไปทุกทีเช่นกัน

                การแปลงเพศตัวละครเป็นมนุษย์โดยเฉพาะเพศหญิงนั้นเกิดขึ้นมากมายด้วยอุปสงค์ว่า ถ้าเปลี่ยนเพศตัวละครหญิงน่าจะทำให้คนดูที่เป็นวัยรุ่นชายเข้าถึงมากกว่า แน่ล่ะว่า นั่นเกิดขึ้นกับผลงานอย่าง Kantai Collection , Strike Witch , Girl An Panzers หรือ โนเวลอย่าง oda nobuna no yabou กระทั่งผลงานเกมชื่อดังที่กลายเป็นอนิเมชั่นชื่อก้องอย่าง Fate Stay Night เองก็เปลี่ยนเพศของกษัตริย์อาเธอร์เป็นผู้หญิงเช่นกัน ไม่รวมถึงบรรดามังงะ เกม หรืออื่น ๆ ที่หยิบจับสิ่งต่าง ๆ มาเปลี่ยนเพศให้คนเข้าถึงง่าย และแน่ล่ะว่า ผลพลอยได้ของมันนั้นก็คือ การทำให้โอตาคุหรือวัยรุ่นที่ชื่นชอบเรื่องราวเหล่านี้ได้ติดตามหรือศึกษางานจริงกันต่อไป แน่ล่ะว่า ญี่ปุ่นเองถือว่าประสบความสำเร็จในด้านนี้อย่างสูงทีเดียว

 

Saber จาก Fate Stay Night (การเปลี่ยนแปลงเพศตัวละครที่โด่งดังที่สุด)

              

              เอาแค่ปรากฏการณ์ของ Kantai Collection  ก็น่าจะยืนยันถึงการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ให้เป็นวัฒนธรรมป๊อปได้แล้ว

                แต่ที่น่ายกย่องก็คือ การที่ญี่ปุ่นไม่ได้มองว่า ประวัติศาสตร์หรือบุคคลต่าง ๆ เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เพราะหากมองกันจริง ๆ แล้วประวัติศาสตร์นั้นเป็นเพียงวรรณกรรมที่ถูกเขียนขึ้นอย่างหนึ่งนั่นเอง ดังนั้นจึงสามารถเปลี่ยนถกได้อย่างอิสระ

                โดยไม่ต้องกังวลว่า ใครจะมาชี้หน้าบอกไม่รักชาติ หรือ กำลังลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ เลย

                หลายคนที่อ่านบทความนี้เชื่อว่า หลายคนต่างรู้จักสามก๊กจากเกม Dynasty Warrior หรือรู้จักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นจากเกมอย่าง Samurai Warriror หรือ Basara กระทั่งเกมวางแผนรบก็ตาม หรือรู้จักตำนานของกษัตริย์อาเธอร์และบรรดาวีรชนที่มีชื่อเสียงจาก Fate Stay Night เป็นแน่แท้ คงต้องพูดว่า นี่คือผลพลอยได้ทำให้ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งจับต้องได้และสามารถเพิ่มมูลค่าของมันในเชิงเศรษฐกิจและรวมไปถึงการประพันธ์งานในมุมมองต่าง ๆ ได้มากขึ้น

                เราจึงไม่เห็นภาพคนญี่ปุ่นประท้วงบริษัทเกมที่เอา โอดะ โนบุนากะมาเป็น สาวน้อย หรือ กระทั่งการเปลี่ยนเรือยามาโต้ให้กลายเป็นสาวน้อยในเกม ลองคิดสิครับว่า เป็นประเทศเรามาทำแบบนี้คงมีสภาพถูกประณามโจมตีจากผู้คนและอาจจะถึงขั้นต้องออกนอกประเทศกันเลยด้วยซ้ำ

                ทั้งที่เอาจริงแล้วการปลูกฝังโดยใช้วัฒนธรรมป๊อปนั้นเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นทำมาตลอดได้อย่างแนบเนียน และเข้าถึงง่าย ไม่ว่าจะเป็นการหยิบจับ เรือรบในตำนานอย่าง ยามาโต้ที่จมไปในช่วงสงครามโลกให้กลายเป็นเรือรบกู้โลกในอนิเมชั่นเรื่อง space battleship yamato 2199 ที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายคนกู้โลกขึ้นมา และยามาโต้กลายเป็นหนึ่งในอนิเมชั่นระดับตำนานที่ไม่ว่าจะสร้างกี่ครั้งก็ได้รับความนิยมมาโดยตลอด รวมทั้งบรรดาสินค้าทั้งหลายเองก็ได้รับความนิยมตลอด แถมยามาโต้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของญี่ปุ่นไปแล้ว เมื่อพูดถึงเรือที่เสมือนจิตวิญญาณของชาวอาทิตย์อุทัยนี้ ยามาโต้จึงปรากฏทั้งในภาพยนตร์ มังงะ ซีรีย์ จนกระทั่งแนวต่อสู้กับสัตว์ประหลาดยังมีเช่นกัน

                นั่นคือสิ่งที่งานเหล่านี้แฝงลงไปอย่างไม่ขัดเขินในงานเหล่านี้จนดูไม่ยัดเหยียด ขณะเดียวกันคนดูก็สามารถเข้าถึงงานเหล่านี้และเรียนรู้ประวัติศาสตร์และความภาคภูมิใจของชาติได้ไปพร้อม ๆ กัน

                ขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ในการเปิดความคิดเห็นของเยาวชนและมุมมองต่าง ๆ ได้กว้างไกลขึ้น ซึ่งในสังคมสมัยใหม่นั้นการเปิดกว้างความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ควรจะทำ ไม่ใช่ปิดกั่นบังคับให้ยอมรับสิ่งต่าง ๆ โดยไม่มีการตั้งคำถามใด ๆ ไป

                วัฒนธรรมของการพูดจาและถกเถียงอย่างมีเหตุมีผลและเปิดกว้าง คือ สิ่งที่ประเทศของเรายังขาดไป และไม่อาจจะเป็นแบบต่างประเทศได้

                จึงไม่แปลกที่ประวัติศาสตร์ความเป็นชาติรวมทั้งประวัติศาสตร์ของบางระจัน ท้าวสุรนารี พันท้ายนรสิงห์ หรือประวัติศาสตร์อื่น ๆ จะอยู่ในสภาพสูงส่งจนแตะต้องไม่ได้และไม่มีสิทธิตั้งคำถามใด ๆ จนถึงทุกวันนี้

            ทั้ง ๆ ที่หากมีการพูดกันอย่างมีหลักฐาน เรื่องราวเล่านี้มีคุณค่ามากกว่าการกราบไหว้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าไม่ใช่หรือ

                นั่นคือสิ่งที่เราคงต้องจับตาดูกันไปว่า ประวัติศาสตร์ของเราจะทำเป็นวัฒนธรรมป๊อปได้แบบประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ เรามีพื้นที่ถกเถียงความคิดกันได้หรือยังต่างหาก

 

(ฟุบุกิ ตัวเอกของเรื่องที่จะมองเรื่องราวสงครามนี้ไปพร้อมกับคนดู (ที่เป็นผู้การ) และเรียนรู้กับเติบโตไปพร้อม ๆ กัน โชคชะตาของเธอจะเป็นเช่นไร)

 

                เมื่อเราสามารถยอมรับการถกเถียงอย่างมีเหตุมีผล ประวัติศาสตร์จะเป็นแสงสว่างที่นำทางเราไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบในอดีต กระทั่งเป็นอุทาหรณ์สอนใจเราได้ในอนาคต

                เหมือนเช่นที่เหล่าสาวน้อยใน Kantai นั้นแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและภาพของความเจ็บปวดในช่วงสงครามโลกที่เกิดขึ้นจากการฆ่าฟันกันของมนุษย์เอง

          การล่มของคิราซากินั้นตอกย้ำให้เห็นถึงความโหดร้ายที่ซุกซ่อนอยู่และให้เราตระหนักถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้น ๆ ว่า

                อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก

                ประวัติศาสตร์จึงควรเป็นแสงสว่างมิใช่ความมืดมิดดั่งที่คนเข้าใจกัน

                และหวังว่า เราจะตระหนักถึงมันด้วยเหมือนกัน

+++++++++++++++

ป.ล. ไม่ได้เขียนนานเพราะติดภารกิจส่วนตัว แต่จะพยายามอัพบทความเรื่อย ๆ นะครับ ใครรอผมเขียนอยู่ก็รออ่านกันได้ทุกอาทิตย์เช่นเคยครับผม 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ