The Great Beauty (La grande bellezza)/2013/Paolo Sorrentino/Italy
แน่หรือไม่ที่อะไรที่เราละเลย หลงลืม หรือมองข้ามไปในวัยเยาว์อาจหวนกลับมาเป็นพลังผลักดันให้เราดำเนินชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความหวังต่อไปได้...นี่อาจจะเป็นโจทย์สำคัญที่ภาพยนตร์ The Great Beauty หรือชื่อในภาษาบ้านเกิดคือ La grande bellezza ของผู้กำกับเปาโล ซอร์เร็นติโน่ ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมครั้งล่าสุดมาได้ และยังมีชื่อเข้าชิงปาล์มทองคำในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีที่แล้วอีกด้วย ตั้งเอาไว้ให้เราคนดูคิดตามขณะดูและได้ตอบตัวเองหลังจากภาพยนตร์จบลง
The Great Beauty เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนักเขียนวัย 65 ปีนามว่าเจ๊ป แกมบาแดลลา (ให้การแสดงอย่างเยี่ยมยอดโดยโทนี่ เซอร์วิลโล่) ตั้งแต่ต้นเรื่องเรารู้ว่าเขามุ่งมั่นจะเป็นนักเขียนมาตั้งแต่วัยหนุ่มและเชื่อว่าชะตาฟ้าลิขิตมาให้เขาเป็นเช่นนั้น ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จนทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง ใช้ชีวิตหรูหราอยู่ในสังคมชั้นสูงของกรุงโรม มีบ้านที่ระเบียงอยู่ติดกับสนามกีฬาโคลอสเซี่ยม รายล้อมด้วยเซเล็บในแวดวงศิลปะมากหน้าหลายตา ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาหมดไปกับการซาบซึ้งดื่มด่ำกับงานศิลป์แขนงต่างๆ และยามกลางคืนก็จัดปาร์ตี้สนุกสนานสุดเหวี่ยงกับเพื่อนฝูงอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ณ จุดนี้เหมือนว่าจะเป็นจุดสูงสุดของชีวิตของเจ๊ป เหมือนว่าเขาจะเพียบพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่จริงๆแล้วภายในตัวตนของเขากำลังประสบภาวะไม่มั่นคงทางจิตใจอย่างรุนแรง ด้วยวัยที่แก่ชราลงทุกที ข้างกายก็ไม่มีคนรู้ใจคอยเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก เว้นเสียแต่แม่บ้านที่พอจะพูดคุยหยอกเย้าคลายเหงาได้บ้าง และที่สำคัญสถานะการเป็นนักเขียนของเขาก็กำลังสั่นคลอน เนื่องจากเป็นเวลา 40 ปีแล้วที่เขาไม่ได้สร้างสรรค์ผลงานเรื่องใหม่ออกมาเลย มิไยที่ผู้คนรอบตัวจะคอยถามไถ่ว่าเมื่อไรจะเขียนงานออกมาอีก แต่นั่นก็ยิ่งเพิ่มความคับข้องในอกในใจเขาให้ทบทวีขึ้นไปอีก ซึ่งปัญหาที่เขาคิดว่าทำให้เขาเขียนงานออกมาไม่ได้ก็คือ เขายังไม่มีโอกาสได้เห็น “ความงามที่งามที่สุด” นั่นเอง
เราอาจจะมองได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นการเดินทางเพื่อค้นหา “ความงาม” ที่เจ๊ปคิดว่าตนควรจะได้พบเจอ ซึ่งการถ่ายภาพอันเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากของหนังทำให้เรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพราะกล้องมักจะโฉบสวิงสวายไปตามที่ต่างๆของเมืองอยู่เสมอ ราวกับจะให้เราสอดส่ายสายตามองความงดงามของโรมและในขณะเดียวกันก็อาจะช่วยค้นหาที่สุดแห่งความงามตามไปด้วย ตลอดการเดินทางนี้ เจ๊ปได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา การแสดงผลงานศิลปะในหลายรูปแบบ (ที่รุนแรงมากๆคือฉากที่เด็กผู้หญิงสาดสีวาดภาพบนผ้าใบใหญ่ยักษ์โดยระเบิดอารมณ์เก็บกดของเธอออกมาจนหมดสิ้น ไม่ต้องพูดถึงในฉากต้นๆที่มีผู้ต้องการฉีกแนวทางศิลปะผู้หนึ่งลงทุนวิ่งชนเสาอิฐปูนจนหัวแตกเลือดอาบ) แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้พาเขาไปสู่ความงามอันเป็นที่สุดอย่างที่เขาคาดหวังเลย ในทางกลับกัน ผู้คนในวงการที่เขาพบเจอซึ่งควรจะเข้าใจในงานศิลปะมากกว่าคนทั่วไปกลับมีแต่ความกลวงเปล่า พูดจาภาษาศิลปะต่อกันเพียงเพื่อจะอวดภูมิหรือแสดงความโก้เก๋ในแบบที่ผู้พูดคิดว่าตนเองรู้แน่และถือครองสถานะการเป็นเจ้าของศิลปะมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น แม้แต่ความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ซึ่งเปรียบเสมือนพลังแห่งการสร้างสรรค์ (ตามหลักของซิกมันด์ ฟรอยด์ที่มองว่าแรงขับทางเพศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์สร้างสรรค์ผลงานต่างๆออกมา โดยเขาเสนอสุดโต่งไปถึงว่าอารยธรรมในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้นจากแรงขับทางเพศทั้งนั้น) ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเกิดแรงบันดาลใจอะไรขึ้นมาได้เลย และที่น่าขันขื่นคือคนรายล้อมรอบตัวเขาก็ต่างหาวิธีที่จะสร้างความงามนั้นขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ ทำได้แม้กระทั่งยอมให้หมอศัลยกรรม (ที่ในหนังให้ภาพได้โรคจิตและน่ากลัวสุดๆ) กระทำการตามอำเภอใจทั้งในทางร่างกายและเงินทอง ซ้ำร้ายความชราที่เขาไม่เคยมองเห็นหรืออาจมองข้ามไปยังทำท่าว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการสรรค์สร้างงานของเขาเสียอีก ซึ่งในขณะที่เขาสนุกสุดเหวี่ยงอยู่เขาก็ไม่ได้สำนึกถึงจุดนี้ ต่อเมื่อมีหญิงชราในร้านอาหารที่เขาไปเยือนผู้หนึ่งกระตุกมือเขาและถามว่าตอนนี้เขามีคนดูแลหรือเปล่า จึงเหมือนมีสายฟ้าแลบสว่างกลางใจให้เขาเห็นสภาวะโดดเดี่ยวของตนเองและฟาดเปรี้ยงลงบนหัวเขาให้เจ็บปวดด้วยความตระหนักว่าเขาถึงวัยใกล้ฝั่งแล้ว
ในขณะที่เขากำลังหมดอาลัยตายอยากกับสังขารอันร่วงโรยและอับจนหนทางไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปทางไหนนี้เอง เขาก็ได้นึกถึงการพบกันระหว่างเขากับสามีของหญิงสาวผู้เป็นความรักที่ประทับจิตประทับใจติดอยู่ในความทรงจำในวัยหนุ่มของเขา ซึ่งตอนนั้นเดินทางมาแจ้งข่าวการเสียชีวิตของเธอ และได้เปิดเผยว่าตลอดเวลาที่เธอแต่งงานกับเขามานั้น เธอไม่เคยลืมเจ๊ปได้เลย และได้บันทึกความทรงจำที่เธอมีต่อเขาไว้ในสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เขาค้นเจอหลังจากเธอเสียชีวิตไปแล้ว จุดนี้เองที่กระตุ้นให้เขาได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขาได้หลงลืม ละเลย และทำสูญหายไปในวัยหนุ่ม ซึ่งอาจจะเป็นด้วยความไม่เข้าใจ ความหุนหันพลันแล่น และความเขลาของผู้ที่ยังอยู่ในวัยที่เปลวไฟแห่งชีวิตยังเริงโรจน์ เร่าร้อน และรุนแรง หากแต่ยังด้อยความสุขุมรอบคอบที่อาจต้องรอการบ่มเพาะ ดังนั้นเขาจึงหลงลืม ละเลย และทอดทิ้งหญิงสาวผู้นั้นออกไปจากความทรงจำ และเดินทางมุ่งหน้าสู่ความฝันความหวังในการเป็นนักเขียนของเขาโดยมิได้หันมองสิ่งอื่นรอบตัวเลย แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเธอคนนั้นอาจจะเป็น “ความงามที่งามที่สุด” ที่เขากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงหันกลับมาทบทวนชีวิตตัวเองเพื่อที่จะรื้อฟื้น passion ในตัวเขาให้คืนมาอีกครั้ง
หนังแสดงวิธีการกลับไปหา passion ของเจ๊ปที่อาจจะดูแปลกอยู่สักหน่อย เจ๊ปมิได้หาทางออกให้แก่ปัญหานี้ด้วยการกลับไปประนีประนอมและทำความเข้าใจกับความทรงจำในอดีตด้วยตัวเองโดยตรง ซึ่งจริงๆหนังก็สร้างเงื่อนไขให้เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเมื่อเขากลับไปถามหาสมุดบันทึกที่คนรักในวัยหนุ่มของเขาเขียนความในใจเอาไว้ก็พบว่าสามีของเธอได้ทิ้งมันไปแล้ว และสิ่งที่เขาหันไปหาเพื่อผลักดันให้ตนเองหวนกลับไปหาความงามแห่งความทรงจำที่ถูกความสับสนแห่งปัจจุบันของตัวเองครอบคลุมบดบังอยู่ก็คือ ศาสนา ซึ่งดูจะเป็นคนละสุดขั้วปลาย ด้านหนึ่งเป็นทางโลก ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นทางจิตวิญญาณ แต่เอาเข้าจริงแล้วทั้งสองขั้วต่างนี้กลับซ้อนทับเข้าด้วยกันอย่างน่าประหลาด ความงามอันบริสุทธิ์ที่เจ๊ปใฝ่หาก็เหมือนกับสิ่งที่จะชำระล้างความโสมม ความจอมปลอม ความยอกย้อน ที่เขาแปดเปื้อนอยู่ในปัจจุบันให้ออกไปได้ ยิ่งเขาเข้าใกล้ความทรงจำแห่งความงามอันเป็นที่สุดของเขามากเท่าไร เราก็ยิ่งเห็นว่าหนังตัดสลับภาพตัวตนในวัยหนุ่มของเขาให้เราเห็นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็ได้รับการสวด “ไล่ผี” จากพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งซึ่งเป็นเสมือนการขับไล่ตัวตนที่หยิ่งยโสด้วยถูกหล่อหลอมจากชื่อเสียงความสำเร็จและเพริดเตลิดไปกับสังคมจอมปลอมที่สิงสู่อยู่ในตัวเขา รวมทั้งขจัดสภาวะมืดมนในจิตใจที่เขากำลังเป็นอยู่ให้ออกไปได้ เป็นการเปิดตาเขาให้เห็นความงามที่เขาอยากเห็นได้ เมื่อประกอบกับฉากอันน่ามหัศจรรย์ที่เรามิอาจตัดสินได้ว่าเป็นความจริงหรือเป็นฉากเหนือจริงกันแน่ นั่นคือ ฉากที่นกฟลามิงโกมาเกาะพักนอนบริเวณระเบียงบ้านของเขาและซิสเตอร์มาเรียกล่าวว่าเธอรู้จักชื่อเกิดของมันทุกตัวแล้วยิ่งตอกย้ำถึงการเข้าถึงความงามที่งามที่สุดของเจ๊ปยิ่งขึ้นไปอีก เพราะธรรมชาติที่อาจมองว่าเป็นสุดยอดแห่งความงามทั้งปวงได้มาเยือนเขาถึงที่ ไม่ต้องไปมองหาจากงานศิลปะแข็งกระด้างใดๆที่เขาผ่านมาตลอดทั้งเรื่อง และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวหนังก็พาเราไปจบที่ฉากหญิงในดวงใจในวัยหนุ่มของเจ๊ปเปิดเผย “ความงามที่งามที่สุด” ซึ่งเจ๊ปได้ละเลยไปเมื่อครั้งยังเยาว์ต่อโลกยังอ่อนประสบการณ์ ซึ่งทำให้เขาเริ่มต้นประโยคแรกของงานเขียนเรื่องใหม่ของเขาได้เสียที
บางสิ่งบางอย่างในโมงยามแห่งความเยาว์วัยเราอาจจะละทิ้งมันไปด้วยไม่เห็นความสำคัญของมันในขณะนั้น แต่เมื่อเติบโตผ่านความเข้าใจและตระหนักรู้และหวนกลับไปรำลึกถึงสิ่งนั้นได้อีกครั้ง มันก็อาจจะเป็นเชื้อไฟแห่งชีวิตและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ก็เป็นได้ และที่สำคัญ เราจะมองหาความงามจากที่อื่นไปทำไม ในเมื่อบางที่สิ่งที่สวยงามที่สุดอาจจะเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้วแต่เลยผ่านทิ้งขว้างมันไปก็ได้