ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)
คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย
ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว หักกะเพราข้างรั้วมา เด็ดใบงามๆ โรยลงไปแล้วรีบยกลง เปรี้ยวนิด เค็มหน่อย เผ็ดจี๊ดๆ ซดร้อนจี๋ๆ มีหมานั่งน้ำลายหกอยู่ใกล้ๆ อากาศเย็น ลมก็หอมชื่นใจ เฮ้อ ข้าวหมดสองจานไม่รู้ตัว
ง่ายกว่านั้นก็ควักกะปิก้นกระปุกออกมาคลุกข้าว โรยกุ้งแห้งป่น มีแตงกวาค้างตู้อยู่ ๒-๓ ลูกเอามาล้างสะอาด กัดกร้วมๆ พริกขี้หนูต้นข้างบ้าน เลือกเม็ดเขียวอ่อนๆ เผ็ดน้อย เคี้ยวแนมเข้าไป ง่ายๆ แต่อร่อยค่ะ
บางวันมีปลาดุกย่างเหลือค้างอยู่ครึ่งตัว เอามาย่างใหม่ให้กรอบๆ หอมๆ แกะเนื้อใส่ข้าว หอมแดงซอย กระเทียมซอย พริกขี้หนูซอย โรยลงไป เหยาะน้ำปลาหอมๆ สักนิด บีบมะนาวเปรี้ยวจี๊ดสักหน่อย คลุกๆ เข้า ได้ข้าวคลุกปลาดุกย่างอร่อยๆ อีกมื้อหนึ่ง
จานเด็ดของฉันขอแค่ไข่ต้มยางมะตูม คลุกข้าวร้อนๆ กับน้ำปลาพริกขี้หนู ถ้าไม่เรื่องมาก ชีวิตก็ไม่ยุ่งยากนัก จริงไหมคะ
ถ้าคุณยายของฉันยังอยู่ น้ำปลาพริกขี้หนูคงไม่มีโอกาสเป็นเมนูหลัก ไม่ใช่รังเกียจสำรับคนยาก แต่เพราะใส่ใจในความสุขของทุกปากท้อง แต่ละมื้อของเมนูคุณยายจึงต้องผ่านกระบวนการอันประณีต ในวันเวลาอันเนิบนาบที่เรายังไม่รู้จักบะหมี่ซองชนิดใส่น้ำร้อนกินได้ใน ๑ นาที
คุณตาเป็นนายพันสั่งงานทหารในค่าย แต่พออยู่บ้านก็กลายเป็นลูกมือให้คุณยายใช้โม่แป้ง เก็บผัก ขึ้นมะพร้าว เหลาไม้กลัด ตัดใบตอง ดองไข่เค็ม เย็บกระทงห่อหมก
หลานวัยกำลังซนอย่างฉันก็หมดโอกาสหนีไปเล่น ต้องนั่งพับเพียบปอกหอมกระเทียม ขูดกระชาย ซอยตะไคร้ ฉีกใบมะกรูด รูดใบชะอม
แล้วเราก็ได้กินแกงเทโพ แกงมะรุม ปลาหมอต้มเค็ม ผัดสายบัว ปลาร้าหลน เนื้อเค็มฝอย กุ้งหวาน หมี่กรอบ บัวลอยญวน ถั่วแปบ ข้าวต้มมัด และอีกสารพัดที่ไม่เคยซื้อจากตลาด แม้แต่ผักบุ้งกินกับน้ำพริก คุณยายยังอุตส่าห์เจียนเป็นเส้น ลวกแล้วจับม้วนเป็นคำๆ เรียงใส่จานอย่างสวยงาม มีขันใส่น้ำฝนลอยดอกมะลิวางรอไว้ให้ชื่นใจหลังอิ่มข้าว
คุณยายเผื่อแผ่ความเอาใจใส่ลงไปถึงหมาแมว มีหม้อนึ่งข้าวต่างหากสำหรับหมา มีปลาย่างตำละเอียดเก็บใส่โหลไว้คลุกข้าวแมว คุณยายจะชิมข้าวคลุกทุกครั้งจนแน่ใจว่าอร่อย จึงใส่จานสังกะสีให้แมวกิน
ฉันเคยแอบแย่งข้าวแมวเพราะอดใจไม่ไหว อร่อยจริงๆ ด้วยสิคะ
คุณยายจากไปทิ้งไว้แต่หลานหัวขี้เลื่อยที่ได้วิชาคุณยายมาแค่ขี้เล็บ แถมยังลำบากยากจน นั่งกินข้าวคลุกน้ำปลาพริกป่นให้เสียชื่อคุณยายซะงั้น แต่คุณยายไม่ต้องห่วงนะคะ หลานมีความสุขและพอใจในชีวิตแล้วค่ะ
จะว่าไป เรื่องของหมาวุ่นวายไม่แพ้คน ฉันพยายามคิดค้นเมนูสำหรับหมาโดยยึดหลักประโยชน์สูง ประหยัดสุด
สมัยที่บ้านสี่ขามีหมาไม่ถึงสิบตัว ฉันสนุกคิดเมนูไม่ซ้ำกันในหนึ่งสัปดาห์ อาทิ พะโล้โครงไก่ ต้มยำไข่(ไม่ใส่พริก) พอหมอบอกว่าควรให้หมากินพืชผักบ้าง ฉันก็เพิ่มเมนูจับฉ่ายกระดูกหมู กับโครงไก่บดใส่ฟักเข้าไป บางวันมีต้มเศษเครื่องในใส่ผักบุ้งสับ จนมีคนทักเมื่อเห็นฉันนั่งสับผักบุ้งว่า ฉันผสมข้าวเลี้ยงหมาหรือเลี้ยงหมู
ฉันพบว่าหมาชอบกินฟักทองผัดใส่ไข่ เมื่อก่อนหมามีน้อยๆ ก็พอทำได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวค่ะ หมาก็เยอะ ไข่ก็แพง แถมปลูกฟักทองไว้ก็ยังไม่ยอมขึ้นสักที
มีคนแนะนำว่าหัดให้หมากินกล้วยน้ำว้าจะดี ฉันก็ลอง แต่ไม่ค่อยสำเร็จ กล้วยหมดหวีไม่ใช่เพราะหมา แต่ว่าเป็นฉันเอง
หมาทุกตัวชอบกินตับย่าง คุณหมอเคยเตือนว่าตับเป็นของแสลงต่อผิวหนังและขน แต่หมามันไม่สนคำเตือนหรอก แหม คงเหมือนคนน่ะแหละ อาหารอะไรไม่มีประโยชน์(แถมโทษยังเยอะ) เป็นชอบกินกันนัก
เคยมีคนใจดีเอาเศษกระดูกไก่โยนข้ามรั้วมาให้หมาบ้านสี่ขา หมาดีใจ แต่ฉันกลุ้มใจ พยายามห้ามแกมขอร้อง(คน ไม่ใช่หมา)ด้วยเหตุผลหลักๆ สองประการคือ หนึ่ง ไม่อยากให้หมาๆ เคยชินกับการกินอะไรที่ใครก็ได้โยนเข้ามาในบ้าน เพราะอาจจะนำไปสู่อันตรายในภายหลัง และสอง ไม่อยากให้หมากินกระดูกไก่ กลัวจะแทงลำไส้มัน
“แหม เลี้ยงหมายังกะเทวดา” มีถ้อยคำหยอกล้อลอยมาพอให้อารมณ์แสบๆ คันๆ
ถามว่าทำไมต้องพิถีพิถันขนาดนี้ ก็เพราะเรารัก เราจึงดูแลและรับผิดชอบชีวิตของมันให้ดีที่สุด การป้องกันดีและ(อาจจะ)ง่ายกว่าการรักษา เพราะค่ารักษานั้นไม่ใช่จะมีตลอดเวลา ไม่ว่าคนหรือหมา ทุกปัญหา “กันไว้ดีกว่าแก้” เสมอ
กระดูกไก่อันตรายค่ะ โดยเฉพาะกระดูกขา เพราะเวลาแตกจะมีลักษณะเป็นเสี้ยนที่แหลมและคม แทงกระเพาะและลำไส้ได้ มีหมาเจอกระดูกไก่คร่าชีวิตมานักต่อนักแล้ว
บ้านฉันมีพาราเซตามอลติดตู้เป็นกระปุก จริงๆ เตรียมไว้ให้หมา แต่บางทีปวดหัวขึ้นมา คนกับหมาก็กินยากระปุกเดียวกัน
พาราเซตามอล ๕๐๐ มิลลิกรัม สำหรับหมาโตเป็นไข้ ให้ครั้งละครึ่งเม็ด ทุก ๔-๖ ชั่วโมง ส่วนหมาเด็กๆ ควรใช้พาราเซตามอลชนิดน้ำ เพราะกินง่าย แต่ถ้าไม่มี ให้ใช้แบบเม็ด โดยลดอัตราส่วนลงไป (ใช้อัตราไหน ควรถามหมอค่ะ)
แต่ถ้าแมวเป็นไข้ ห้ามใช้พาราเซตามอลเด็ดขาดนะคะ เพราะแมวจะแพ้ถึงตายทีเดียวเชียว ต้องใช้ยาน้ำแก้ไข้เฉพาะของแมวเท่านั้น
มีหลายโรคที่คนเป็นได้ หมาแมวก็เป็นได้ ตั้งแต่โรคหวัด โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ไปจนถึงโรคมะเร็งนั่นเทียว การป้องกันโรคก็ไม่ต่างกัน เวลาฟังหมออบรมเรื่องการดูแลสุขภาพเจ้าสี่ขา ฉันนึกไปว่า หมอกำลังพูดถึงตัวฉันเองทุกที
อย่างตอนนี้ ฉันซึ่งติดรสเค็มก็กำลังพยายามลดเกลือและน้ำปลา กลัวเป็นอย่างแมว คือตายไวด้วยโรคไตวาย (ว่าแล้วก็เก็บถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนูเข้าตู้โดยทันที)
ความไม่มีโรคเป็นโชคอันประเสริฐ สุขภาพดีวิเศษกว่ามีทรัพย์จริงๆ ค่ะ