Skip to main content
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์

ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
\\/--break--\>

บางคนเห็นแล้วคิดว่า ใครนะช่างลงทุนซื้อชามตราไก่มาวางไว้ที่ป้ายรถเมล์
บางคนรู้สึกว่าป้ายรถเมล์ดูมีชีวิตชีวาเมื่อมีชามใบใหม่
บางคนอดสงสัยไม่ได้ ว่าชามใหม่จะวางอยู่ได้กี่วัน

ทุกๆ วัน ราวตีห้าครึ่งถึงแปดโมงเช้า ป้ายรถเมล์จะมีคนมายืนหันขวาเหมือนๆ กันเพื่อรอขึ้นรถ
จากนั้นราวค่อนวัน ป้ายรถเมล์ก็จะเงียบเหงาอบอ้าวอยู่ในแสงแดด
พอบ่ายสามโมงกว่าๆ ก็จะเริ่มมีคนลงจากรถ พลุกพล่านเป็นพิเศษราวๆ หกโมงเย็นถึงสองทุ่ม จากนั้นก็จะค่อยๆ เงียบลงจนว่างเปล่าเหมือนเพิงร้างๆ ในความมืดสลัวของกลางคืน

ป้ายรถเมล์คือที่จอดรถเมล์ มีคนมารอรถ ขึ้นรถ ลงจากรถ แล้วเดินผ่านไปตามทิศทางของแต่ละคน
อาจมีบางคนแวะนั่งพักเมื่อยบ้าง เช่น คนกวาดถนน คนเดินขายธูป คนหาบไข่ปิ้ง คนถีบซาเล้งเก็บของเก่า หายเมื่อยก็ลุกเดินจากไป

แต่วันหนึ่ง มีหมาสีดำตัวหนึ่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์

ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน มาอย่างไร อยู่ๆ ใครๆ ก็มองเห็นมัน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มองเห็นมัน เพราะบางคนก็ไม่ได้สนใจ
หมาสีดำนั่งเหลียวซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เหมือนมองหาหรือรอคอยใคร นานๆ ก็ลงนอนหมอบ บางทีก็ลุกเดิน
แต่มันไม่เคยเดินไปไกลจากป้ายรถเมล์ อย่างมากก็เข้าไปขับถ่ายในดงหญ้าคาข้างทาง หรือเดินไปหมอบหลบร้อนอยู่ในตู้โทรศัพท์ที่อยู่ห่างออกไปประมาณสี่ห้าเมตร
เคยมีหมาบางตัววิ่งเล่นผ่านมา มันวิ่งตามไปไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนใจ วิ่งกลับมานั่งเหลียวไปมาที่ป้ายรถเมล์อย่างเดิม

ใครคงเอามันมาทิ้ง บางคนรำพึง
หรือมันอาจจะหลงทาง บางคนคาดเดา
อาจมีคนสั่งให้มันรอที่ป้ายรถเมล์ มันก็รอ และยังคงรออยู่ บางคนคิดถึงเรื่องเศร้า
หรือว่ามันสายตาไม่ดี อีกคนสงสัย เข้าไปก้มดู เห็นขี้ตาแฉะเต็มตาหมา จึงควักกระดาษเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้

ไม่นาน หมาสีดำก็เริ่มมีสมบัติส่วนตัว มันไม่ได้เสาะหามาเอง แต่อยู่ๆ มันก็มี
เป็นชามใส่อาหารใบหนึ่ง ใส่น้ำใบหนึ่ง
มีคนใจดีสงสารหมา หามาวางไว้ให้
แต่ไม่กี่วันถัดมา ชามเหล่านั้นก็หายไป อาจมีคนที่ไม่มีชามใช้ จึงมาขอยืมของหมา
คนใจดีอีกคนเห็นชามหายไป เลยหาใบใหม่มาวางแทน

ภาชนะใส่อาหารของหมาสีดำจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ชามพลาสติก จานรองกระถางต้นไม้ กะละมังบุบๆ ถาดโฟม กระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก หรือบางครั้งไม่ทันหาใหม่ ต้องใช้พื้นซีเมนต์เป็นจานอาหารก็มี (พื้นซีเมนต์ยังไม่เคยหาย)

บ่ายวันหนึ่ง คนขายน้ำแข็งถีบรถมาถึง พบว่าถังพลาสติกใบเล็กหายไป
เปล่าหรอก ไม่ใช่ถังของเขา เขาเพียงผ่านมาเกือบทุกวัน และเติมน้ำใส่ภาชนะอะไรก็ตามที่วางอยู่ เขาจำได้ว่าเมื่อวานเป็นถังใบเล็กๆ
เขาโกรธแทนคนใจดีที่อุตส่าห์หาถังมา อีกทั้งโมโหแทนหมาที่ไม่มีน้ำกิน
ไอ้ห่...เอ๊ย ขโมยกระทั่งของหมา เขาพูดคำหยาบอีกสองสามคำ แล้วหยิบขวดน้ำพลาสติกเปล่าๆ มาบรรจงตัดครึ่ง เอาน้ำเทใส่วางไว้แทนถังใบที่หาย

หน้าหนาว หมาสีดำจะได้สวมเสื้อยืดเก่าๆ ที่ใครสักคนหามาใส่ให้
เมื่อเสื้อมอมจนเน่าหรือเก่าจนขาด ก็จะมีใครอีกคนเอาเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยน
บางทีมีคนใจดีตรงกัน แต่มาไม่พร้อมกัน คนที่มาช้ากว่า เห็นหมาเปลื่อนเสื้อแล้ว ก็จะถือเสื้อกลับไปแบบเขินๆ ปนยินดีที่มีคนคิดถึงหมา นึกในใจว่า ไม่เป็นไร เก็บไว้เปลี่ยนคราวหน้า(ถ้าอากาศยังหนาวอยู่)
มีคนเอาผ้าห่มเก่าๆ มาปูใต้ที่นั่งป้ายรถเมล์ หมาสีดำนอนอุ่นในกองผ้าได้สองวัน ผ้าก็หายไป
คงมีคนที่ยากไร้และหนาวยิ่งกว่าหมา เจ้าของผ้ารำพึง
วันต่อมามีอีกคนเอากระดาษกล่องหนาๆ มาปูไว้ เพื่อให้หมาไม่ต้องนอนขดบนพื้นปูนเย็นๆ แต่วันรุ่งขึ้นกระดาษก็หายไป คงถูกใครเก็บไปชั่งกิโลขาย

เมนูอาหารของหมาสีดำเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มันไม่อาจคาดเดา
บางวันในชาม(หรือจาน หรือกระดาษ หรือพื้น) นั้นจะเป็นข้าวคลุกปลากระป๋อง
บางวันเป็นข้าวคลุกตับย่าง
บางวันเป็นเศษแกงปนกันหลายอย่าง
บางวันเป็นอาหารเม็ด
เป็นปีกไก่ไม้หนึ่ง
เป็นหัวปลา กระดูกไก่ ข้าวเหนียว เศษขนมจีน ลูกชิ้น ขนมชั้น โดนัท สาลี่ เศษเค้ก(ในช่วงปีใหม่)
นอกจากเมนูที่หลากหลาย หมาสีดำอาจมีจำนวนมื้ออาหารมากกว่าหมาตัวไหนๆ
ตั้งแต่ตีห้า หกโมงเช้า แปดโมงครึ่ง บ่ายสามโมง หนึ่งทุ่ม และห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน แล้วแต่เวลาผ่าน หรือความสะดวกของคนใจดีแต่ละคน
แต่วันที่ไม่มีอะไรเลย ก็มีเหมือนกัน อาจเป็นวันที่คนใจดีทั้งหลายบังเอิญมาไม่ได้ หรือไม่มีอะไรติดมือมา
บางคนอยากรู้ว่าหมาสีดำรออะไร หรือรอใคร แต่ก็ไม่รู้จะไปถามที่ไหน เพราะคนแถวนั้นก็ไม่รู้

ถึงวันนี้ หมาอยู่ที่ป้ายรถเมล์มาครบปีแล้ว
มันยังคงเหลียวมองซ้ายขวา บางทีนอนหมอบเหมือนรอคอยใคร
ปลอกคอเส้นเก่าๆ ที่เคยคล้องคอมันมาแต่แรกขาดไปแล้ว และมีคนหาเส้นใหม่มาเปลี่ยนให้

ป้ายรถเมล์ยังเป็นป้ายรถเมล์ เป็นจุดรอรถ ขึ้นรถ ลงรถ
แม้ว่าจะมีหลายคน ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เคยสังเกตเห็นว่าป้ายรถเมล์มีหมา แต่ก็มีหลายคนที่ทุกครั้งผ่านมาต้องทักทายหมา
บางคนแค่เดาะลิ้นเรียก บางคนลูบหัว บางคนนั่งลงเกาพุงให้ บางคนก้มดูว่าในชามหมามีอะไร และบางคนปรับทุกข์กับหมา ตั้งแต่ราคาค่ารถ ค่าข้าว ไปจนถึงค่าเช่าบ้าน

หมาสีดำรู้จักคนเหล่านั้น แต่คนเหล่านั้นไม่รู้จักกัน

ทุกคนรู้แต่ว่า ในความวุ่นวายของชีวิต ยังมีใครบางคนที่มีหัวใจเอื้ออารีเหมือนๆ กัน
พวกเขารู้จักหมาสีดำตัวเดียวกัน และอาจเคยพูดคุยทักทายกัน ผ่านจาน ขัน ถังน้ำ เสื้อ และเศษอาหารนานาชนิด

พวกเขารู้ว่าที่ป้ายรถเมล์มีหมาสีดำ ที่เหมือนกำลังรอคอยใคร
และรู้ว่าอีกไม่กี่วัน ไม่ใครก็ใคร จะได้หาชามใหม่มาวางไว้ที่ป้ายรถเมล์

 

กำลังคอยใครกัน

 
 

นอนอย่างนี้ทุกวัน

 
 

แล้วชามใหม่ก็หายไป (จริงๆ) เหลือแต่ใบนี้

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้ …
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง…
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง…
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย…
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว…