Skip to main content

ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ

แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง

"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ"
ฉันถามถึงจำนวนไก่ เจ้าอาวาสบอกนับไม่ถ้วนสักที เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวลด
ที่เพิ่มก็เพราะมีคนมาปล่อยอยู่เรื่อยๆ ที่ลดก็เพราะมีคนมาขโมย(เรื่อยๆ เหมือนกัน)
เช่นเดียวกับปลาในบ่อที่มีคนมาปล่อย แล้วก็มีคนมาแอบวางเบ็ดทอดแหอยู่บ่อยๆ ทั้งที่มีป้าย "ห้ามจับปลาในวัด" ปักอยู่ทนโท่

คนเราต่างจิตต่างใจ การเข้าวัดไม่ได้หมายถึงศรัทธาอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแต่เพียงอย่างเดียว
นอกจากไก่และปลา สัตว์ที่คนขยันปล่อยวัดรองลงมาคือหมาๆ แมวๆ

"เขาปล่อยหมาแมวสะเดาะเคราะห์กันด้วยหรือคะหลวงพ่อ" ฉันถามเจ้าอาวาส มองหมาที่นอนเรียงรายอยู่ใต้ถุนกุฏิ
ท่านหัวเราะหึๆ บอกว่า "ไม่ใช่หรอก มันเป็นเรื่องของคนที่อยากผลักภาระออกจากตัวน่ะ"

ความเป็นมาของหมาแมวแต่ละตัวในวัด เป็นเรื่องที่พระและเณรขยันเล่าให้ฉันฟัง บางเรื่องฉันก็ประสบด้วยตนเอง

วันพระหนึ่ง หลังจากทำบุญฟังสวดและกรวดน้ำเสร็จสรรพ พระรูปหนึ่งที่คุ้นหน้ากันดีกวักมือเรียกให้ฉันตามไปดูกล่องกระดาษใบหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างกำแพงหลังวัด สภาพกล่องเปียกแฉะจนยุ่ย คงเพราะฝนที่ตกหนักเกือบตลอดคืนที่ผ่านมา ในนั้นมีลูกแมวน้อยๆ อยู่สามตัว เปียกโชกจนดูเหมือนก้อนสำลีเปียกๆ และสกปรก

"คงเอามาทิ้งเมื่อวานหรือเมื่อคืน แต่อาตมาเพิ่งรู้เมื่อกี้ที่เด็กไปบอก" หลวงพี่บ่น "คนหนอคน จะทิ้งทั้งทีก็ไม่ยักไปทิ้งในวัด วางตากฝนไว้ได้"
ฉันนั่งยองๆ สำรวจลูกแมวในกล่อง ตัวหนึ่งตายแล้ว ตาลืมโพลง ตัวเย็นเฉียบ อีกสองตัวนอนหายใจแผ่วๆ ตัวสั่นริกๆ ด้วยความหนาว น้ำมูกข้นๆ สีเหลืองไหลย้อยจนตันรูจมูก

"ช่วยมันหน่อยเถอะโยม นึกว่าทำกุศล" หลวงพี่บอกแล้วช่วยหาเศษผ้าเหลืองในวัดมาให้ห่อลูกแมวทั้งสอง เรียกเด็กวัดมาเอาลูกแมวตัวที่ตายไปฝัง
ฉันหอบแมวน้อยไปหาหมออนันต์ สัตวแพทย์เจ้าประจำที่รู้จักสมาชิกบ้านสี่ขาเกือบทุกตัว คุณหมอตรวจแมวแล้วส่ายหน้า
"ปอดอักเสบ ขาดอาหารด้วย มันยังไม่อดนมเลย ร่างกายอ่อนแอมาก ผมไม่แน่ใจว่ามันจะรอด"

หมอฉีดยาลูกแมวแล้วฉันก็หอบกลับไปประคบประหงมที่บ้าน พยายามหยอดน้ำนมและหยอดยา เปิดโคมไฟส่องไว้ให้มันอบอุ่น แต่ลูกแมวอยู่ได้แค่สามวันก็ตาย ฉันกลับมาแจ้งข่าวให้หลวงพี่ทราบ

"กรรมของแมว กรรมของคนทิ้งแมว" หลวงพี่บอก
เณรองค์หนึ่งเล่าว่าเคยเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาวนเวียนอยู่ในบริเวณวัด ตอนแรกคิดว่าจะมาทำสังฆทานหรือมาพบเจ้าอาวาส เณรกำลังจะลงจากกุฏิไปถาม ก็เห็นรถจอด มีคนอุ้มห่ออะไรสักอย่างมาวางไว้ข้างศาลาแล้วขับรถออกจากวัดไปเลย

เณรเข้าไปดูพบว่าเป็นผ้าขนหนูที่ห่อหมาพุดเดิ้ลสีดำขนหยิกหยองตัวหนึ่ง น่าสงสัยว่าทำไมเอาหมาสวยๆ มีราคามาทิ้ง นั่งดูอยู่พักหนึ่งถึงรู้คำตอบ หมาเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว ขาทั้งสี่เหยียดเกร็งและคอเอียงไปข้างหนึ่ง เจ้าของคงคิดว่าเป็นภาระเกินกว่าจะเลี้ยงไว้

เจ้าพุดเดิ้ลไม่กินข้าวกินน้ำเลย เณรน้อยสงสารหมาจึงเอานมกล่องที่มีคนใส่บาตรมาหยอดใส่ปากมัน แต่ก็ไหลหกออกมาหมด เพราะมันไม่สนใจจะกิน เอาแต่ร้องและพยายามกระเสือกกระสนทั้งที่ขยับตัวแทบไม่ได้ มันคร่ำครวญทั้งวันทั้งคืน ไม่กี่วันก็หมดแรงและหมดลม

"มันคงคิดถึงเจ้าของ อยากกลับบ้าน" เณรน้อยบอกเศร้าๆ

.......................

ครั้งหนึ่งฉันเอาข้าวไปให้หมาแมวในวัด เจ้าอาวาสก็เดินลงมาหา
"ให้เด็กๆ คอยดูๆ อยู่ว่าโยมจะเข้ามาอีกเมื่อไร มีธุระจะไหว้วาน" ท่านบอก
"จะให้ทำอะไรคะ" ฉันถาม
"เห็นโยมสนใจหมาแมว คงจะรู้จักหมอดีๆ อยากให้ถามว่าเขาจะมาช่วยฉีดยากันหมาบ้าที่วัดได้ไหม จะให้พระพาไปหาหมอคงจะลำบาก คนมาทำบุญบางคนเขาบ่น อาตมาจะได้บอกว่ามันฉีดยาหมดแล้ว เขาจะได้สบายใจกัน"

"ได้สิคะ ได้" ฉันรีบรับคำ "มีหมอใจดีอยู่คนหนึ่งค่ะ เดี๋ยวจะไปนัดให้ว่าหมอจะมาได้วันไหน"
"บอกหมอว่าไม่ต้องกลัว อาตมาจะให้เณรช่วยกันจับหมา"
หมออนันต์หิ้วกระเป๋ายามาที่วัดในเช้าวันหนึ่ง มีเณรคอยอุ้มหมามาให้ฉีดยาทีละตัว บางตัวเห็นเพื่อนร้องเอ๋งๆ ตอนฉีดยา มันรีบวิ่งหนี เณรน้อยสองสามองค์ต้องวิ่งไล่จับหมาจนจีวรปลิว หมอยังฉีดยาคุมกำเนิดให้หมาตัวเมียอีกด้วย

กว่าจะเสร็จก็เกือบเพล เจ้าอาวาสลงมาจากกุฏิถามหมอว่าค่ายาเท่าไร
"ไม่ต้องค่ะหลวงพ่อ หนูขอทำบุญ" ฉันบอก

เมื่อท่านเจ้าอาวาสให้ศีลให้พรเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ติดรถหมอกลับมาที่คลินิกในเมืองเพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย พอเปิดกระเป๋าเตรียมควักสตางค์ หมออนันต์ก็บอกว่าคิดแต่ค่ายา และขอคิดแค่ครึ่งเดียว
"ผมก็อยากทำบุญเหมือนกัน"

ฉันย้ายบ้านสี่ขามาจากที่นั่นนานแล้ว แต่หมออนันต์ยังรับรักษาสัตว์อยู่ในคลินิคเล็กๆ เหมือนเดิม
ส่วนวัดป่าแห่งนั้น ก็ยังคงเป็นวัดป่าที่แสนสงบ เต็มไปด้วยต้นไม้ ไก่ ปลา หมา แมว ยังคงมีคนแวะเวียนไปทำบุญ(บางทีก็ทำกรรม) อย่างสม่ำเสมอ

บางคนไปแบบทูอินวัน คือ หิ้วของไปทำบุญ กับหอบหมาแมวไปทิ้งที่วัดพร้อมกันในคราวเดียว ไม่ให้เสียเที่ยวที่ไปวัด!

บล็อกของ มูน

มูน
รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้ …
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง…
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง…
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย…
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว…