Skip to main content
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน


คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสาร


ใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง


............


นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ฉันจมอยู่กับการทำความเข้าใจในเหตุผลการแยกทางของพ่อกับแม่


อีกครั้งหนึ่งที่ฉันกระโดดโลดเต้นกลับถึงบ้าน ด้วยความเบิกบานใจที่จะได้สนุกสนานกับเพื่อนๆ ในวันสิ้นปี พบพ่อยืนรออยู่ เพื่อบอกข่าวร้ายเรื่องคุณตา


ฉันทรุดนั่งที่บันไดบ้าน ไม่หลงเหลือความเบิกบานใดๆ เมื่อคนที่ฉันรักที่สุดจากไปแล้ว


ปลายปีถัดมา ขณะที่ทุกคนเริงร่ากับเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ฉันนั่งกอดอกอยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆ ติดภูเขา ข้างเตียงที่คุณยายนอนอยู่ มองใบไม้แห้งปลิวอยู่ริมหน้าต่าง อากาศหนาวจับใจ ปีนั้น ของขวัญปีใหม่ของฉันคือการสูญเสียคนที่รักไปอีกหนึ่งคน


...........


การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ ถ้อยคำนี้เป็นสัจธรรม แต่เราต้องอาศัยเวลาเคี่ยวกรำสักแค่ไหน จึงจะเข้าใจได้อย่างแท้จริง


............


ฉันไม่อยากรับโทรศัพท์ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้

เสียงสั่นเครือของแม่แว่วผ่านระยะทางกว่า ๗๐๐ กิโลเมตร

"โมเมตายแล้ว"

แม้จะค่อนข้างเบา แต่ฉันได้ยินชัดเจน หมาสีดำที่แสนอาภัพตัวนั้นตายแล้ว วันที่ฉันจะเดินทาง มันกระเสือกกระสนตามด้วยความลำบาก ฉันรีบเกินกว่าจะกลับไปอุ้มมัน


"มันทรมานหรือเปล่า" ฉันถามในเรื่องที่พะวงเสมอมา

"แม่ไม่แน่ใจ มันเหมือนหายใจไม่ไหว มันหายใจช้าลงเรื่อยๆ แม่ว่ามันคงเหนื่อยมาก"

"ดีแล้ว มันจะได้ไม่เหนื่อยอีกต่อไป" ฉันปลอบแม่ แต่ในใจถามตัวเองว่า ดีจริงหรือ

"พรุ่งนี้เช้าแม่จะจ้างคนมาขุดหลุมนะ" แม่บอกเพราะแน่ใจว่าฉันกลับไปฝังเองไม่ทัน

"ให้มันนอนดีๆ นะ มันชอบนอนตะแคง"


"รู้แล้ว แม่บอกมันแล้ว ว่ายายขอโทษที่ช่วยไม่ทัน ก็แม่ไม่รู้จะทำยังไง แม่พาไปหาหมอไม่ไหว ถึงไหวก็ไม่มีสตางค์ ดึกอย่างนี้จะจ้างรถที่ไหนไปจังหวัด แล้วแม่ก็ไม่คิดว่าอยู่ๆ มันจะไป" แม่พูดยืดยาวอย่างเสียใจ

"ไม่เป็นไร มันไปดีแล้ว" ฉันปลอบแม่พร้อมๆ กับปลอบตัวเอง

"สงสารมัน จำได้ไหมวันก่อนที่เรายังคุยกันว่าถ้ามีสตางค์จะทำกรงมีล้อให้มัน จะได้ลากให้มันไปนอนอาบแดดบ้าง" แม่ยังอดพูดไม่ได้


"ไม่เป็นไร มันคงไม่อยากให้เราลำบาก"

"แม่ไม่น่าไปดุมันเลย เวลามันลากอึเลอะไปทั่วบ้าน ก็มันพิการนี่นา"

"เราทำดีที่สุดแล้ว" ฉันพยายามพูด แต่ในใจยังคงถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำดีที่สุดแล้วจริงๆ หรือ

"ถ้ารู้ แม่จะไม่ดุมันเลย มันมองแม่เหมือนจะให้ช่วย แม่จะช่วยได้ยังไง" ฉันอยากให้แม่หยุดรำพันเสียที

"แม่ไปนอนเถอะ จะได้ไม่เหนื่อย"

"กลับมาเอาเงินให้คนขุดดินด้วยนะ" แม่บอกก่อนวางสายไป ฉันรู้ว่าแม่จะนอนไม่หลับไปอีกครึ่งคืน


สมุดบันทึกยังเปิดอยู่ ฉันพลิกไปด้านหลัง มีรายการที่ตั้งใจจะทำเขียนไว้ยาวเหยียด ฉันรู้ว่าโมเมกำลังรอความช่วยเหลือ โมโหตัวเองที่ไม่ได้ช่วยให้มันมีความสุขเท่าที่ตั้งใจไว้ ถ้าเพียงแต่....กี่ครั้งแล้วที่เราพูดประโยคทำนองนี้ กับบางเรื่องราวที่ไม่อาจย้อนคืน

"ขอโทษนะโมเม"

ฉันนั่งร้องไห้ให้กับชีวิตที่อาภัพของหมาพิการตัวหนึ่ง และความเชื่องช้าของตัวเอง


............


การเปลี่ยนปี เป็นแค่สิ่งเตือนถึงความเปลี่ยนแปลง ให้เรารู้ว่า เวลาช่างแสนสั้น ใครบางคนเคยให้ของขวัญเป็นนาฬิกาทราย เมื่อพลิกกลับด้าน ทรายด้านที่เต็มอยู่จะไหลพรูลงด้านล่าง ชีวิตเราช่างเหมือนทรายด้านบนที่พร่องลงเรื่อยๆ


สักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว เราคงได้ประสบกับความพลัดพรากอีกหลายครั้ง หลายหน ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ บางคนสูญเสียคนรัก บางคนพลัดพรากจากบ้านเกิด และบางคนอาจสูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธาในชีวิต


ในวันเวลาที่เรายังมีเหลือ มีอะไรบ้างที่เราต้องทำ อยากทำ และจะเสียใจหากไม่ได้ทำ

เราบอกรักกันพอไหม เราให้อภัยคนที่เราโกรธหรือยัง เราทำดีกับใครๆ มากพอหรือเปล่า

 

ในความโศกเศร้า เราได้เรียนรู้อะไร และยังหลงเหลืออะไร แม้สูญเสียใครไปแล้ว


.................


(เรื่องราวของโมเม อยู่ในบทความย้อนหลัง ตอน "แม้เลือกเกิดได้")

บล็อกของ มูน

มูน
รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้ …
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง…
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง…
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย…
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว…