Skip to main content

เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้

แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ

“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”
เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวย
มีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก

“น่าสงสารจัง” ฉันรำพึงดังๆ
“นั่นสินะ เราช่วยเอามันกลับไปเลี้ยงที่บ้านกันเถอะ” ได้ยินเสียงเธอบอกอย่างร่าเริง แล้วชักชวนน้องชายไปหาลังกระดาษเปล่าๆ มา ๒-๓ ใบ เธออุตส่าห์หาถุงมาเผื่อฉันด้วย

ภาพของพี่สาวกับน้องชายที่ช่วยกันหอบหิ้วดอกไม้เดินตัวเอียงไปด้วยกันนั้นดูอบอุ่นน่ารัก

…............

สองเดือนที่ผ่านมา แมวๆ บ้านสี่ขาทยอยตายติดๆ กันเกือบสิบตัว ฉันขุดหลุมฝังจนมือแตกเพราะเสียดสีกับด้ามจอบ

“โรคระบาดแหงๆ เหมือนแมวตายที่อ่างทองไงล่ะ นี่จะเอามาติดแถวนี้หรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวหมูหมากาไก่ได้เดือดร้อนกันไปทั้งตำบล” มีเสียงลอยลมมา

“หมาแมวบ้านนี้ฉีดวัคซีนเกือบทุกตัวค่ะ” ฉันรู้สึกห่อเหี่ยวมาหลายวัน แต่คิดว่าจำเป็นต้องอธิบาย “ยกเว้นบางตัวมันอ่อนแออยู่ บางตัวมันก็ป่วยมา ยังฉีดวัคซีนไม่ได้ แต่วัคซีนมันก็ป้องกันเฉพาะบางโรค ไม่ใช่ทุกโรค เหมือนคนแหละค่ะ ถึงฉีดวัคซีนก็ป่วยโรคอื่นได้เหมือนกัน”
“ฮี่โธ่เอ๊ย”
เป็นคำสบถที่ฉันคร้านจะตีความ

...............

ฉันหิ้วดาวกระจายกับเดซี่มาได้แค่ ๔-๕ กระถางเพราะต้องโหนรถประจำทางหลายทอด  แล้วก็ถูกเจ้ากล้า หมาจอมซนแอบตะกุยทั้งดินและดอกไม้ออกเพื่อคาบกระถางไปเล่น ช่วยไว้ทันแค่อย่างละต้นเท่านั้น อยากตีเจ้าตัวยุ่ง แต่เห็นหน้าตาเป๋อเหรอที่เลอะดินมอมแมมแล้วตีไม่ลง

นึกดีใจที่อีกหลายสิบต้นยังคงบานไสวอยู่ในบ้านของเธอ

“เหนื่อยไหมจ๊ะ” เธอเคยถามฉันถึงการอุปการะหมาแมวมากมาย “เวลามันตาย เสียใจไหม”
“เสียใจสิ ตายทีไรก็เสียใจทุกที”
ฉันตอบ
“นั่นสินะ ก็เพราะอย่างนี้แหละ เราถึงทำอย่างเธอไม่ได้ เพราะถ้ามันตาย เราต้องเสียใจมากแน่ๆ”
แล้วเธอก็ยิ้มสวยเช่นเคยขณะพูดว่า
“ปลูกต้นไม้ดีกว่าเนอะ ตายแล้วก็ปลูกใหม่ได้”

..............

ฉันเหมารถรับจ้างพาแมวที่เหลือ(อีก ๓๐ กว่าตัว)ไปให้สัตวแพทย์ตรวจสุขภาพ บางตัวได้ฉีดวัคซีนซ้ำ บางตัวยังต้องบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงก่อน แล้วจึงทำวัคซีนทีหลัง บางตัวฉันต้องเอายากลับมาฉีดให้เองที่บ้าน เพราะไม่สามารถเหมารถไปอีก อย่างน้อยก็ในช่วงนี้

“แย่เลยเนาะ ตั้งหลายตัว แต่ก็ดี กันไว้ดีกว่าแก้” มีเสียงแสดงความเข้าอกเข้าใจ
“จะไปรักษามันทำมั้ย ปล่อยให้มันตายๆ ไปซะ จะได้หมดภาระ” อีกเสียงเห็นต่าง
ฉันนึกถึงสุนัขจิ้งจอกที่บอกเจ้าชายน้อยว่า ไม่น่าแปลกใจเลย คนเรามีทัศนะต่อโลกได้หลายแบบ

“ค่ารถเหมาไปจังหวัดเท่าไหร่ล่ะ เสียค่ายาไปเท่าไหร่นะ” น้ำเสียงนั้นอยากรู้อยากเห็น ถ้าทำเฉยเสียคงไม่จบง่ายๆ ฉันจึงตอบไปตามความเป็นจริง
“โอ๊ย เปลืองตายห่..” เสียงอุทานดังจนฉันสะดุ้ง “นี่ละน้า อยู่ดีไม่ว่าดี เขาทิ้งมาแล้วยังอุตส่าห์ไปเก็บมาอีก เดือดร้อนมั้ยล่ะ ไม่รู้จะเลี้ยงไปทำไม เลี้ยงแล้วได้อะไร้ ไม่เห็นได้อะไรซักอย่าง เห็นมีแต่เสีย”

คราวนี้ฉันไม่ได้ตอบคำถาม ได้แต่นึกสงสัยว่า จำเป็นด้วยหรือ ที่เราจะทำอะไร เพื่อให้ “ได้” อะไรไปเสียทุกครั้ง  

.......................

ฉันนึกถึงเพื่อนผู้บอบบางที่ลาจากสวนดอกไม้ของเธอไปในเช้าวันนี้

นึกถึงถ้อยคำหยอกล้อร่าเริง กับรอยยิ้มสดชื่นที่ไม่เคยจางหาย แม้รู้ว่าความป่วยไข้ไม่อนุญาตให้เธอมีชีวิตยืนยาว

“เราช่วยชีวิตดอกไม้พวกนี้กันเถอะ”
เธอมักชวนใครๆ ทำนั่นทำนี่ มีขนมมาฝาก มีกับข้าวมาแบ่งให้ชิม และชื่นชมกับสิ่งที่คนอื่นทำ โดยไม่เคยถามว่า ทำแล้วได้อะไร
มีความเศร้าและสวยงามผสานกันอยู่ในอากาศรอบตัวฉัน

ลมฤดูร้อนพัดกลีบบางๆ ของดาวกระจาย ดวงดอกสีชมพูสั่นไหวอยู่ในแสงแดด เข้มแข็งและเริงร่าเช่นเดียวกับเธอ

20080422 

 

บล็อกของ มูน

มูน
รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้ …
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง…
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง…
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย…
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว…