นอกจากนอกหน้าต่างที่วิ่งผ่านไปตามถนนหนทาง ผ่านทิวทัศน์มากมาย ผ่านแผ่นดิน สายน้ำ ที่คนเดินทางได้เฝ้ามอง สิ่งหนึ่งที่คนเดินทางต้องผ่านพบเสมอ และบางครั้งบางคราว มันก็ยังกลายเป็นที่พักแรมจำเป็นก็ยังมี และที่ๆ เราจะต้องนั่งจับเจ่าอยู่เสมอก็คือ ชานชาลา เรื่องเล่ามากมายหลายเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากนักเดินทางก็มักมีเรื่องของชานชาลาอยู่ด้วยเสมอ
ว่าก็โดยเฉพาะนักเดินทาง ที่เดินทางคนเดียวอยู่เป็นนิตย์นั่นแล้ว ความรู้สึกที่มักสัมผัสได้เมื่อคราวต้องนั่งอยู่ที่ชานชาลา ก็คือความเหงา ว่ากันว่า คลื่นของความเหงาของผู้คนมากมายที่อยู่ในสภาพสภาวะเดียวกันที่ชานชาลา ก็คือ รอ รีบ กังวล คิดถึง อาลัย หรือความรู้สึกอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย รวมทั้งดีใจ ยินดี สุข แต่ทั้งหมดนั้น คละเคล้าปะปน ซึ่งมันก็อาจเป็นคลื่นความที่ปกคลุมชานชาลา หลายครั้งหลายหน เราจึงได้รับคลื่นเหล่านั้น และรู้สึกร่วมไปกับอารมณ์ทั้งหลายนั้นด้วยเสมอ
ความรู้สึกที่เรามักจะพบบ่อยที่สุดเมื่อต้องเดินทาง และเมื่อต้องอยู่ที่ชานชาลา ไม่ว่าเราจะรอนานหรือไม่นานก็ตาม นั่นคือ เหงา
มองออกไปผู้คนเต็มไปหมด บางส่วนนั่งอ่านหนังสือ ตามมุม ตามเก้าอี้ บางคนฆ่าเวลาในร้านกาแฟ บางส่วนกำลังหาทางเลือกในการเดินทาง บางส่วนกำลังหอบหิ้วของพะรุงพะรัง ไปหาชานชาลาที่ต้องขึ้นรถ บางส่วนยังเข้าแถวซื้อตั๋ว บางส่วนเป็นพนักงานร้องเรียกผู้โดยสาร บางส่วนคนรถสองแถว สามล้อ มอเตอร์ไซค์ เดินเชื้อเชิญผู้โดยสาร ต่างก็กำลังพยายามสร้างงาน ทำหน้าที่ของตน
สิ่งที่พบ เกือบทั้งหมดนั้น รอยยิ้มไม่ได้มีมากมายนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต่างอยู่กับหน้าที่ หรืออยู่กับห้วงคำนึงของตัวเอง เช่นนี้เองกระมัง ที่เรามักรู้สึกเหงาเสมอเมื่อยามที่ต้องรออยู่ที่ชานชาลา และนั่นมักมีเรื่องราว และผู้คนมากมายให้เราได้รฤกถึงด้วยเช่นกัน
หลายครั้งกระมัง ที่เรามักรู้สึกว่า เวลาที่ชานชาลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก ด้วยความเหงา แต่ทั้งหมดนั้น ผู้คนคงรู้สึกดั่งเดียวกันว่า ความหมายที่ดีงาม รอเราอยู่ที่ปลายทาง อย่างน้อยก็สำหรับการเดินทางคราวนี้