ถ้อยคำแห่งตัวตน

5 November, 2007 - 02:09 -- nakolee

วันแต่ละวัน ซึ่งก็คือตลอดเวลาของชีวิต  มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธการสื่อสาร  มีบ้างหรอกวิธี หรือเครื่องมือสื่อสารที่สามารถตัดต่อ เรียบเรียงโดยผ่านการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ด้วยเหตุด้วยผลว่าจะได้หรือเสีย ดีหรือร้าย 

ในแง่นี้ก็อาจจะว่าเฉพาะไปที่การเขียน  ซึ่งมันเป็นการสื่อสารที่ค่อนข้างช้า  ความช้านี่เองที่ทำให้สามารถกลั่นกรองเรื่องราวเนื้อหานั้นๆ  แต่การสื่อสารที่รวดเร็ว ว่าก็คือการสนทนานั้นมันเป็นการสื่อสารทันใด  มันจึงทำให้กรองได้น้อย  มีบ้างหรอกความพยายามที่จะ ‘คิดก่อนพูด’ แต่มันก็ไม่ได้ใช้ได้ทุกครั้ง  ยิ่งขณะภาวะที่ความคิดคับแคบด้วยแล้ว  ถ้อยคำก็ยิ่งเป็นสื่อที่ออกมาจากภายในโดยตรง  อย่างดีที่สุดก็ผ่านการตรวจสอบจากข้อมูลความรู้เดิม ความทรงจำเดิม ทั้งหมดนั้นความหมายของมันก็คือ ถ้อยคำได้ฉายภาพจากภายในของผู้คนออกมานั่นเอง

ดูเหมือนว่าโบราณ  ถ้อยคำของโบราณฉายภาพชัดเจนทั้งศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อของมนุษย์  บางทีมันมาในรูปของนิทานปรัมปรา  มาในภาษิตคำคม เรื่องเล่า หรือตำนานผ่านภาษาที่เรียบง่าย  เรื่องราวเหล่านั้นเคลื่อนไหว ดำรงอยู่ในสนามปัญญาร่วมของมนุษยชาติ  ทั้งหมดนั้นมันจึงเปี่ยมความหมาย  หรืออาจเป็นนิรันดร์ ดังเช่น ณ ยุคสมัยเวลานี้ เรายังได้ยินได้ฟังถ้อยคำโบราณ อันเป็นภูมิปัญญาของบรรพชน  เรื่องราวเหล่านั้นเองที่มันบ่งบอกอุปนิสัยของชนนั้นๆ  และเมื่อเราฟังคำโบราณของหลายเผ่าชนเราย่อมพบว่า  คำของโบราณนั้นสืบต่อมาแต่คำของธรรมชาติ  ด้วยมักมีเรื่องราวของหลายชนเผ่าที่ไกลโพ้น ฟังคล้ายเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ คล้ายว่ามนุษย์มิอาจปิดบังซ่อนเร้นภาพ หรือสภาวะภายในของตนได้  ด้วยว่ามันปรากฏเด่นชัดอยู่ในถ้อยคำ  เช่นนั้นเอง เมื่อยามที่เราได้ฟังคำโกหกพกลม เพ้อเจ้อ ของผู้คน  เราย่อมรู้ได้ไม่ยากเย็นถึงความจริงที่ซ่อนอยู่หลังคำโอ่อวดนั้น  เพราะวิญญาณของเขาฉายชัดอยู่ในถ้อยคำนั้นแล้ว หรือแม้กระทั่งความจริงของชีวิตที่ผู้คนกล่าวออกมา  เราย่อมมองเห็นตัวตน และโลกภายในของเขาได้ชัดเจน   เช่นนี้เองที่เราย่อมเชื่อได้ไม่มาก็น้อยว่า  ที่สุดแล้วมนุษย์ไม่สามารถหลอกลวงผู้อื่นได้ เพราะชีวิตของเขาคือภาพสะท้อนตัวตนภายในของเขา  หากจะมีใครที่มนุษย์พอจะหลอกได้บ้างก็คือ ตัวเอง  กระนั้นหากสืบสาวให้ลึกลงไปกว่านั้น  จิตไร้สำนึกของตัวเองก็ไม่ได้ถูกหลอกอยู่นั่นเอง  ........

ถ้อยคำคือหนทาง....มันเป็นหนทางสายสำคัญในวิถีชีวิต  มันนำเราไปสู่ความงาม ความจริง  การเรียนรู้  บางถ้อยคำคือดอกไม้ที่มีหยดน้ำค้างต้องแสงตะวันเปล่งประกายเช้า  บางถ้อยคำอาจเป็นเศษขยะเน่าเหม็นริมทาง  เช่นนั้นเอง ในกระบวนการเรียนรู้ เราจึงไม่อาจละเลยถ้อยคำ  ด้วยว่าเราไม่อาจเพียงชื่นชมดอกไม้โดยแกล้งทำเป็นไม่เห็นกองขยะ หากแต่เราต้องรู้ว่ากองขยะเน่าเหม็นนั้นก็อาจเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ เพื่อได้ออกดอกส่งกลิ่นหอม ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นวิถีแห่งถ้อยคำ นั่นก็เป็นได้....

ความเห็น

Submitted by ร้อยโฉบ on

ในใจคิดอย่างไร สีหน้าฉายให้เห็นเช่นนั้น
ความคิดเป็นแช่นไร นัยของคำพูดแสดงอย่างนั้น

โลกในอุดมคติ

ทนายจำเลย ชูรถเมล์จำลอง แล้วถามพยานโจทย์ ซึ่งก็คือ Jacky ตำรวจที่จับกุมจำเลยนั้นได้นั่นเอง  ทนายจำเลยถามว่า รู้ได้ไงว่า จำเลยคือคนกระทำผิด Jacky บอกว่า ก็เขาเป็นคนไล่จับจำเลยมา แล้วจำเลยก็หนีขึ้นรถเมล์  ทนายชูรถจำลองนั้นแล้วถามว่า เมื่อคุณมองดูรถเมล์ คุณเห็นมันทั้งคันหรือเปล่า เขาก็บอกว่า เปล่า อีกข้างหนึ่งก็มองไม่เห็น  ทลายจำเลยก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่อาจบอกได้ว่า อีกฝั่งหนึ่งของรถเมล์เกิดอะไรขึ้น  การโต้เถียงประเด็นนี้ ทำให้ศาลพิพากษา ยกฟ้อง  แต่นี่เป็นเพียงเรื่องราวในหนังครับ วิ่งสู้ฟัดภาคแรก ของเฉินหลง  แต่เรื่องนี้ มันมีเรื่องน่าสนใจ....

พื้นที่อันอาจได้นำเสนอตัวตน

หากว่า ผืนแผ่นดินที่งดงาม สร้างคนให้งดงาม  แล้วผืนแผ่นดินที่ยากแค้นลำเค็ญเล่า จะสร้างคนมาแบบใด...ความจริงนี่ก็อาจเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากนัก  แต่ ความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่...นี่ก็อาจต้องมองเข้าไปในรายละเอียดมากขึ้น...กระมัง  การเดินทางครั้งหนึ่งของชีวิต  ในซากปรักหักพัง ของภัยธรรมชาติอันได้คร่าชีวิตคนไปมากมาย  ในกลิ่นของความตายและความเศร้าโศก เราได้เห็นหน่ออ่อนของต้นหญ้าที่ผุดขึ้นมา ในความชื้น ภายใต้ซากปรักหักพังนั้น

กลับ

การสูญเสีย ดูจะเป็นเงื่อนไขใหญ่ที่ทำให้คนเราตกไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “เสียศูนย์”  มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อสามีตาย ภรรยาตกอยู่ในสภาวะเสียศูนย์ถึงยี่สิบปี ก่อนจะฆ่าตัวตายตาม  นี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโม้ก็ไม่อาจรู้ได้  แต่ความจริงที่เห็นโดยส่วนใหญ่ ความสูญเสียก็มักเป็นเรื่องที่กระทบกับหัวใจคนอย่างรุนแรง  เช่น อกหัก  หรือ คนที่เรารักตายไป  หรือความพ่ายแพ้  ซึ่งความพ่ายแพ้นี่ก็คือการเสียฟอร์ม มันก็คือการเสียศูนย์ความเป็นตัวตนนั่นเอง

กลับ



ชีวิตหลุดลอยไปในบางวาระ           ซึ่งในสถานะแห่งมนุษย์
กับการเดินทางอันไม่สิ้นสุด            บางคราวนั้นจึงสะดุด จึงทรุดโทรม
พลาดหวังพังพ่ายสลายสิ้น
             ทั่วผืนแผ่นดินทุกข์ท่วมถั่งโถม
เสพย์สิ่งใดได้บ้างพอปลอบประโลม
เมามายโง่โงมระทมร้าว
ภาวะเช่นไรเหนี่ยวนำพา
                เมื่อความปรารถนาที่บอกกล่าว
ล้มเหลวไปในทางที่ทอดยาว
          จึงคล้ายสูญเรื่องราวไร้การพานพบ
อาจบางทีการสูญเสียสิ่งที่รัก
          เจ็บปวดนักดั่งถึงวันจบ
ละทิ้งวิ่งหนีจากสนามรบ
                ยอมสยบต่อดินฟ้าชะตามกรรม
นั่นคงเป็นปัจจัยที่ลากดึง
               หัวใจถูกตรอกตรึงกับความบอบช้ำ
คนใครหรือสิ่งใดจะน้อมนำ
            ยิ่งนานวันยิ่งถลำลึกลงไป
สูญสิ้นสูญเสีย เสียสิ้นแล้ว
            พลังชีวิตโหยแผ่วโหวงว่างไหว
มิอาจคิดการณ์กระทำอันใด
           เป็นวิญญาณที่ร้างไร้และล่องลอย
จนถึงวันหนึ่งการปรากฏ
                ของบางสิ่งใหม่สดพาปลดปล่อย
กระตุ้นเตือนเคลื่อนการรอคอย
       อาจเริ่มจากเพียงเล็กน้อยแต่ชัดเจน
นั่นคือสิ่งที่จะพาเรากลับ
                สัมผัสรับเรียนรู้และมองเห็น
ตัวตนที่หล่นหายที่กลายเป็น
           ซากชีวิตเคี่ยวเค้นลำเค็ญแค้น
กลับมา กลับมา เราได้กลับมา
         สู่หนทางปรารถนาอันหนักแน่น
มองออกไปทั่วถิ่นแผ่นดินแดน
        นั่นคือวิมานเมืองแมนโลกแสนรัก
หลุดแล้วหลุดไปอย่างไรได้
            แต่การกลับสิยิ่งใหญ่พอได้ประจักษ์
เราจะเติบโตตื่นมั่นคงขึ้นยิ่งนัก
         เรียนรู้ต่อทอถักทางชีวิต.....