หากว่า ผืนแผ่นดินที่งดงาม สร้างคนให้งดงาม แล้วผืนแผ่นดินที่ยากแค้นลำเค็ญเล่า จะสร้างคนมาแบบใด...ความจริงนี่ก็อาจเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากนัก แต่ ความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่...นี่ก็อาจต้องมองเข้าไปในรายละเอียดมากขึ้น...กระมัง การเดินทางครั้งหนึ่งของชีวิต ในซากปรักหักพัง ของภัยธรรมชาติอันได้คร่าชีวิตคนไปมากมาย ในกลิ่นของความตายและความเศร้าโศก เราได้เห็นหน่ออ่อนของต้นหญ้าที่ผุดขึ้นมา ในความชื้น ภายใต้ซากปรักหักพังนั้น
หากว่า ผืนแผ่นดินที่งดงาม สร้างคนให้งดงาม คำถามต่อมาก็คือ แล้วคนในผืนแผ่นดินนั้นจะงดงามทุกคนหรือไม่ คำตอบที่เราทั้งหลายอาจตอบทันทีคือ ไม่ เช่นนั้นแล้ว เมื่อกลับมาที่ ผืนแผ่นดินที่ยากแค้นลำเค็ญ ผู้คำจะ ไม่งาม ทั้งหมดหรือไม่ เช่นกันว่า คำตอบที่เราจะตอบกับตัวเองก็คือ ไม่... ทั้งหมดนั้นอาจเป็นคำตอบตามหลักการ หรือเปล่า...นั่นก็อาจเป็นได้
ความจริงหนึ่งที่พบก็คือ มีผู้คนจำนวนมาก ที่พยายามทำตนให้เป็นต้นหญ้าอ่อน ที่ผลิขึ้นมาท่ามกลางซากปรักหักพังนั้น พวกเขาพยายามเหยียดกายขึ้นรับแสงแห่งความดีงาม บางครั้ง เมื่อมหาชนมองเข้ามาจากภายนอก ก็อาจมองเห็นแต่ซากปรักหักพังนั้น มองไม่เห็นหน่อยอ่อนของต้นหญ้า พวกเขาก็รู้ พวกเขาอาจเสียใจ ทดท้อ หรืออาจแล้งร้างกำลังใจ แต่ พวกเขาก็หวัง น้ำสักหยดที่จะราดรดลงไปในผืนดินนั้น เพื่อเอื้อเฟื้อเกื้อกูลให้พวกเขาเติบโตได้...
มีคนมากมายที่ก่อตั้งกลุ่ม ชมรม สมาคมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พวกเขาทำอะไรบ้าง หลายอย่างเราไม่รู้ แต่ที่เห็นบางส่วนก็ออกมาเป็นงานด้านแจก เลี้ยง สอน รักษาโรค หรืองานด้านการสงเคราะห์ นั่นคือการรดน้ำให้ต้นหญ้าอ่อนที่พยายามจะเติบโตหรือไม่... บางคนอาจตอบว่าใช่ บางคนอาจตอบว่า ไม่...ว่ากันไป
การรดน้ำพรวนดินให้ต้นหญ้าที่พยายามจะเติบโต อาจไม่มีอะไรมากไปกว่า มิตรภาพ ผู้คนมากมาย ผ่านมา เอาแต่พูดๆๆๆ บอกให้พวกเขาทำนั่นทำนี่ แล้วก็จากไป โดยไม่รู้ว่า พวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ไม่มีมิตรภาพ มีแต่หน้าที่
ในความยากลำบาก ขอเพียงมิตรภาพ ความเข้าใจ กำลังใจ นั่นก็มีความหมายมากแล้ว และนั่นก็หมายถึงการให้พื้นที่กับพวกเขา ที่พวกเขาจะได้แสวงหา และเติบโตได้เอง ด้วยความมั่นคง ด้วยการสร้างสรรค์จากพลังของเขาเอง ด้วยการเกื้อหนุนด้วยมิตรภาพ ไม่ใช่ด้วยการสังคมสงเคราะห์