เมื่อเราเงี่ยหูฟัง ในชนชาติที่ว่ากันว่าเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน เก่งเรื่องการเชื่อมร้อยถ้อยคำภาษาให้ไพเราะ งดงาม ดังนั้นในเสียงที่บอกเล่ากล่าวความเพื่อวิพากษ์ วิจารณ์สังคม เราจึงเห็นและได้ยินชุดกลุ่มคำที่ดูดี เท่ห์ระเบิด เข้าท่าชะมัด ประมาณว่าแสดงออกถึงภูมิปัญญาอันสูงล้ำ
เงี่ยหูฟังอีกนิด ถ้อยคำทั้งหลายนั้นต่างบอกออกมาเป็นท่วงทำนองที่ไม่ต่างกันนัก คือการสร่างตัวละครขึ้นมา เป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่ร่วมยุคสมัย เป็นตัวละครที่มีตัวตนอยู่จริง แล้วก็เอาความผิด เอาความล้มเหลวของสังคม โยนลงไปให้ตัวละครตัวนั้น เพราะสิ่งนั้นมันเป็นอย่างนั้น โลกจึงเป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งนั้นเลวร้าย โลกก็จึงเลวร้าย มนุษย์ทั้งหลายต่างก็ได้รับผลกรรม
นั่นเป็นเพียงความจริงด้านหนึ่งหรือเปล่า.... เพราะเมื่อเราเงี่ยหูฟัง เราจะได้ยินแต่คนผู้ก่นด่าคนอื่น คนอื่นเท่านั้นที่ผิด คนอื่นที่ล้มเหลว คนอื่นเลวร้าย คนอื่นโง่เขลา คนอื่นด้อยพัฒนา คนอื่นช่างเต็มไปด้วยอคติ คนอื่นไม่มีอุดมการณ์ คนอื่นล้าหลัง คนอื่นไม่ก้าวหน้า คนอื่นเป็นคนไม่ดี คนอื่นเห็นแก่ตัว คนอื่นเอาเปรียบสังคม คนอื่นทำร้ายโลกจนบอบช้ำ
เมื่อเราเงี่ยหูฟัง.... บางทีเราก็รู้สึกว่ามันน่าชื่นใจ โลกของเรามีความหวัง เพราะทุกครั้งที่ได้ฟังคนกล่าวถึงปัญหาของสังคม ปัญหาของโลก เราก็รู้สึกว่าพวกเขาช่างดีงาม พวกเขาทั้งหลายต่างห่วงใย และลงมือทำบางอย่างเพื่อเยียวยาโลก และสังคม พวกเขาฉลาด พวกเขามีปัญญา พวกเขามองเห็นปัญหา พวกเขาเข้าใจ และพวกเขาก็โทษ และก่นด่าคนอื่น....
เมื่อเราเงี่ยหูฟัง...เรากลับไม่ได้ยินใครเลย ที่บอกว่า เราก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เราคือต้นเหตุที่ทำให้โลกและสังคมก้าวสู่วิกฤต เราคือชิ้นส่วนที่เลวร้ายของโลกดั่งเดียวกัน เราคือคนที่จะต้องลงมือทำมากกว่าดีแต่ตีฝีปากด้วยสำนวนโวหารอันดูทรงปัญญา เราคือความล้มเหลวของสังคมและโลก
ใช่....เมื่อเราเงี่ยหูฟัง เราได้ยินแต่เสียงก่นด่าผู้อื่นและคำสรรเสริญตัวเอง.........