เพื่อนคนหนึ่งเคยเชื้อเชิญให้พวกเราได้มีเวลาสำรวจบาดแผลของชีวิต เบื้องแรกหลายคนคิดว่าให้สำรวจบาดแผลของจิตใจ ความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่เพื่อนคนนั้นยืนยันว่า ให้สำรวจบาดแผลทางร่างกายจริงๆ นั่นก็อาจหมายความว่า ให้เราได้กลับมาสำรวจ และเรียนรู้บาดแผล เพราะนั่นมันอาจเป็นความทรงจำอันดี เพราะบาดแผลแต่ละครั้ง มันคือการเรียนรู้ มันเป็นประสบการณ์ของชีวิต แผลคือการจารึกเรื่องราว เพราะทั้งหมดนั้นวันหนึ่งมันจะกลายเป็นทรงจำที่อาจประทับใจ
ใช่แต่บาดแผลเท่านั้นกระมัง การเผชิญเรื่องราวอันตื่นเต้น ความเจ็บปวดร้าวในแต่ละครั้ง ณ ขณะนั้นมันอาจเป็นภาวะที่เลวร้ายยิ่งนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าอันน่าประทับใจ เจ้าตัวอาจนำมาเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า และมันก็จะกลายเป็นประสบการณ์อันน่าเรียนรู้ อันไม่รู้จบ
ช่วงเวลาเช่นนี้มันจึงเป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย ว่าก็คือช่วงแห่งความทุกข์ยาก เจ็บปวด อันไม่ว่าจะในระดับใด ทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ หรือกระทั่งโลกใบนี้นั่นเอง ในภาวะเช่นนี้ บางคราวเราก็รอ รอให้มันผ่านไป และมันเป็นไปไม่ได้หรอกกระมังที่มันจะไม่ผ่านไป เพราะไม่ว่าอะไรมันก็จะผ่านไป ไม่ว่าบางสิ่งเราอยากจะยึดมันไว้แค่ไหน มันก็จะไม่สามารถดำรงอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ดีงามหรือเลวร้าย
บาดแผลที่สำคัญส่วนหนึ่งนั้นก็คงเป็นบาดแผลของวัยเยาว์ วัยที่สามารถเข้าไปคลุก ขลุกกับอะไรก็ได้โดยปราศจากความหวาดหวั่นใดใด ความซุกซน อาจเป็นตัวแทนของความอยากรู้อยากเห็น ความตื่นตาตื่นใจ และนั่นเองก็คือสาเหตุของบาดแผลมากมาย เมื่อฟังเรื่องคราวเป็นเด็กของหลายๆ คน มักมีการบาดเจ็บ ที่มาของบาดแผลคล้ายๆ กัน เช่น แผลเป็นที่เข่า อันเกิดจากการหกล้มครั้งแล้วครั้งเล่า หรือการตกจากที่สูง มีดบาด หัวแตก บางอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคของความตื่นตาตื่นใจเลย ตรงกันข้าม ในวัยเด็กเราได้เข้าไปผจญกับภัยอันตรายเล็กๆ น้อยๆ เสมอ อย่างไม่หวาดหวั่น และในความตื่นตาตื่นใจนั่นเองที่เป็นสื่อกลางในการทำความรู้จักกับโลก
ผู้คนมากมายตามหาวัยเยาว์ของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ผู้คนมักมีความสุขเสมอเวลาที่พูดถึงวัยเยาว์ของตัวเอง แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะค้นพบหัวใจของวัยเยาว์นั้นในตัวเอง ยิ่งก็โดยเฉพาะเมื่อเราอายุสูงวัยมากขึ้น หลายครั้งที่เราจะพบว่า เราไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่นัก เวลาที่พานพบเรื่องราวที่น่าสนุกสนาน เราไม่ตื่นเต้นเวลาเห็นอะไรใหม่ๆ และนั่นก็อาจหมายความว่าสื่อที่จะนำเราไปทำความรู้จักกับโลกนั้นมันหดหายไปนั่นเอง
เช่นนั้นแล้ว.... การกลับไปสำรวจบาดแผลของชีวิต ก็อาจเพื่อการนำเราไปสู่บาดแผลใหม่ๆ ซึ่งมันหมายถึงความกล้า ที่จะเรียนรู้ อย่างนั้นหรือเปล่า...มั้ง
ใช่แต่บาดแผลเท่านั้นกระมัง การเผชิญเรื่องราวอันตื่นเต้น ความเจ็บปวดร้าวในแต่ละครั้ง ณ ขณะนั้นมันอาจเป็นภาวะที่เลวร้ายยิ่งนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าอันน่าประทับใจ เจ้าตัวอาจนำมาเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า และมันก็จะกลายเป็นประสบการณ์อันน่าเรียนรู้ อันไม่รู้จบ
ช่วงเวลาเช่นนี้มันจึงเป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย ว่าก็คือช่วงแห่งความทุกข์ยาก เจ็บปวด อันไม่ว่าจะในระดับใด ทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ หรือกระทั่งโลกใบนี้นั่นเอง ในภาวะเช่นนี้ บางคราวเราก็รอ รอให้มันผ่านไป และมันเป็นไปไม่ได้หรอกกระมังที่มันจะไม่ผ่านไป เพราะไม่ว่าอะไรมันก็จะผ่านไป ไม่ว่าบางสิ่งเราอยากจะยึดมันไว้แค่ไหน มันก็จะไม่สามารถดำรงอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ดีงามหรือเลวร้าย
บาดแผลที่สำคัญส่วนหนึ่งนั้นก็คงเป็นบาดแผลของวัยเยาว์ วัยที่สามารถเข้าไปคลุก ขลุกกับอะไรก็ได้โดยปราศจากความหวาดหวั่นใดใด ความซุกซน อาจเป็นตัวแทนของความอยากรู้อยากเห็น ความตื่นตาตื่นใจ และนั่นเองก็คือสาเหตุของบาดแผลมากมาย เมื่อฟังเรื่องคราวเป็นเด็กของหลายๆ คน มักมีการบาดเจ็บ ที่มาของบาดแผลคล้ายๆ กัน เช่น แผลเป็นที่เข่า อันเกิดจากการหกล้มครั้งแล้วครั้งเล่า หรือการตกจากที่สูง มีดบาด หัวแตก บางอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคของความตื่นตาตื่นใจเลย ตรงกันข้าม ในวัยเด็กเราได้เข้าไปผจญกับภัยอันตรายเล็กๆ น้อยๆ เสมอ อย่างไม่หวาดหวั่น และในความตื่นตาตื่นใจนั่นเองที่เป็นสื่อกลางในการทำความรู้จักกับโลก
ผู้คนมากมายตามหาวัยเยาว์ของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ผู้คนมักมีความสุขเสมอเวลาที่พูดถึงวัยเยาว์ของตัวเอง แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะค้นพบหัวใจของวัยเยาว์นั้นในตัวเอง ยิ่งก็โดยเฉพาะเมื่อเราอายุสูงวัยมากขึ้น หลายครั้งที่เราจะพบว่า เราไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่นัก เวลาที่พานพบเรื่องราวที่น่าสนุกสนาน เราไม่ตื่นเต้นเวลาเห็นอะไรใหม่ๆ และนั่นก็อาจหมายความว่าสื่อที่จะนำเราไปทำความรู้จักกับโลกนั้นมันหดหายไปนั่นเอง
เช่นนั้นแล้ว.... การกลับไปสำรวจบาดแผลของชีวิต ก็อาจเพื่อการนำเราไปสู่บาดแผลใหม่ๆ ซึ่งมันหมายถึงความกล้า ที่จะเรียนรู้ อย่างนั้นหรือเปล่า...มั้ง
บล็อกของ นาโก๊ะลี
นาโก๊ะลี
ทนายจำเลย ชูรถเมล์จำลอง แล้วถามพยานโจทย์ ซึ่งก็คือ Jacky ตำรวจที่จับกุมจำเลยนั้นได้นั่นเอง ทนายจำเลยถามว่า รู้ได้ไงว่า จำเลยคือคนกระทำผิด Jacky บอกว่า ก็เขาเป็นคนไล่จับจำเลยมา แล้วจำเลยก็หนีขึ้นรถเมล์ ทนายชูรถจำลองนั้นแล้วถามว่า เมื่อคุณมองดูรถเมล์ คุณเห็นมันทั้งคันหรือเปล่า เขาก็บอกว่า เปล่า อีกข้างหนึ่งก็มองไม่เห็น ทลายจำเลยก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่อาจบอกได้ว่า อีกฝั่งหนึ่งของรถเมล์เกิดอะไรขึ้น การโต้เถียงประเด็นนี้ ทำให้ศาลพิพากษา ยกฟ้อง แต่นี่เป็นเพียงเรื่องราวในหนังครับ วิ่งสู้ฟัดภาคแรก ของเฉินหลง แต่เรื่องนี้ มันมีเรื่องน่าสนใจ....
นาโก๊ะลี
หากว่า ผืนแผ่นดินที่งดงาม สร้างคนให้งดงาม แล้วผืนแผ่นดินที่ยากแค้นลำเค็ญเล่า จะสร้างคนมาแบบใด...ความจริงนี่ก็อาจเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากนัก แต่ ความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่...นี่ก็อาจต้องมองเข้าไปในรายละเอียดมากขึ้น...กระมัง การเดินทางครั้งหนึ่งของชีวิต ในซากปรักหักพัง ของภัยธรรมชาติอันได้คร่าชีวิตคนไปมากมาย ในกลิ่นของความตายและความเศร้าโศก เราได้เห็นหน่ออ่อนของต้นหญ้าที่ผุดขึ้นมา ในความชื้น ภายใต้ซากปรักหักพังนั้น
นาโก๊ะลี
การสูญเสีย ดูจะเป็นเงื่อนไขใหญ่ที่ทำให้คนเราตกไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “เสียศูนย์” มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อสามีตาย ภรรยาตกอยู่ในสภาวะเสียศูนย์ถึงยี่สิบปี ก่อนจะฆ่าตัวตายตาม นี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโม้ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ความจริงที่เห็นโดยส่วนใหญ่ ความสูญเสียก็มักเป็นเรื่องที่กระทบกับหัวใจคนอย่างรุนแรง เช่น อกหัก หรือ คนที่เรารักตายไป หรือความพ่ายแพ้ ซึ่งความพ่ายแพ้นี่ก็คือการเสียฟอร์ม มันก็คือการเสียศูนย์ความเป็นตัวตนนั่นเอง
นาโก๊ะลี
ชีวิตหลุดลอยไปในบางวาระ ซึ่งในสถานะแห่งมนุษย์
กับการเดินทางอันไม่สิ้นสุด บางคราวนั้นจึงสะดุด จึงทรุดโทรม
พลาดหวังพังพ่ายสลายสิ้น ทั่วผืนแผ่นดินทุกข์ท่วมถั่งโถม
เสพย์สิ่งใดได้บ้างพอปลอบประโลม เมามายโง่โงมระทมร้าว
ภาวะเช่นไรเหนี่ยวนำพา เมื่อความปรารถนาที่บอกกล่าว
ล้มเหลวไปในทางที่ทอดยาว …
นาโก๊ะลี
บ่อยไป หรือหลายครั้งหลายหนในการงานของชีวิต ที่เราต้องทำงานบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่งานของเรา เพียงแต่ว่า นั่นคืองานที่มันเกี่ยวข้องกับเรา งานที่ต้องเกื้อหนุนงานของเรา และเราก็มักจะไม่พอใจที่คนที่เขามีหน้าที่นั้น เขาทำไม่ได้อย่างที่เราต้องการ
นาโก๊ะลี
ยามที่บางคนกล่าวคำว่า “มันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต” มันฟังดูคล้ายเขาจะบอกว่า สิ่งที่เขากำลังกล่าวถึงอยู่นั้นมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญกว่านี้ไปอีกแล้ว.... และหลายครั้งที่เราจะพบว่า คนๆ เดียวกันนี้ก็กล่าวถึงสิ่งอื่นๆ ในเรื่องอื่นๆ ในวาระอื่นๆ ว่า “มันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต” และด้วยท่าทีที่คล้ายว่า สิ่งนั้นเป็นที่สุดแห่งความสำคัญดั่งเดียวกับทุกๆ ครั้ง ทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา
นาโก๊ะลี
ถ้อยคำที่ประทับใจ แม่ทับเหวินไท่ บอกกับแม่ทัพ ฮัวมู่หลานว่า “เมื่อเจ้าสวมเกราะแม่ทัพ ชีวิตก็ไม่ใช่ของเจ้าคนเดียว” ในสมรภูมิหนึ่ง เมื่อกองทัพของฮัวมู่หลานถูกหักหลัง น้องชายลูกพี่ลูกน้องของฮัวมู่หลาน และทหารจำนวนหนึ่งถูกจับเป็นเชลย และถูกเอามาล่อให้ทหารออกไปช่วย ในสภาวะที่ไม่อาจทำอย่างไรได้ มีทหารคนหนึ่งบอกกับแม่ทัพว่า เราต้องออกไปช่วยพวกเขา “นั่นเสี่ยวหู่นะ เขาเป็นน้องชายท่านนะ” แม่ทัพบอกว่า “พวกเจ้าก็เป็นพี่น้องของข้าเช่นเดียวกัน”
นาโก๊ะลี
วัดเซนแห่งหนึ่ง พระเซนต่างก็ปฏิบัติภาวนาในวิถีแห่งเซน คราวหนึ่งในวัดเกิดเรื่องขึ้น มีของหายในวัด หลายครั้งหลายหน เกิดความเดือดร้อนไปทั้งวัด เมื่อทำการสืบสวน สอบสวนในที่สุดก็พบขโมย ซึ่งก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของวัด มีการเรียกประชุมสมาชิกทั้งวัด เหล่าพระเซนทั้งหลายต่างก็เรียกร้องให้ขับขโมยออกจากวัด ทั้งมีเสียงสนับสนุนมากมายต่อการลงโทษขั้นเด็ดขาดด้วยการขับออกจากวัดนั้น ในที่สุดเจ้าอาวาสก็กล่าวต่อคณะสงฆ์ และสมาชิกวัดทั้งหมดว่า “พวกเธอทั้งหลายผู้ได้เรียนรู้แล้วถึงความถูกต้องดีงาม พวกเธอสามารถใช้ชีวิตอย่างรู้ผิดชอบชั่วดี พวกเธอทั้งหลายจึงสมควรเป็นผู้ออกจากวัด แต่ผู้ที่เป็นขโมยนั้น…
นาโก๊ะลี
คนสวน ปลูกพืชผักธัญญาหาร เฝ้าดูกี่เติบโต จนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต คนสวนบอกว่า เมื่อต้นไม้เริ่มงอกออกมา มันต้องการอาหาร ต้องการการบำรุงรักษา จนกว่ามันจะโตเต็มที่ เริ่มให้ดอกผล บางอย่างเก็บดอก บางอย่างเก็บใบ บางอย่างเก็บผล ก็ว่ากันไป แต่เมื่อมันให้ผลนั่นแล้ว มันก็จะค่อยๆ แห้งเหี่ยว ตายไป ระหว่างนี้มันไม่ต้องการอาหารมาก มันไม่ต้องการการบำรุงรักษามาก.......
นาโก๊ะลี
ในชีวิตของเรา มีความพยายามมากมายนัก พยายามที่จะทำบางสิ่ง พยายามที่จะไม่ทำบางสิ่ง พยายามที่จะรัก พยายามที่จะไม่รัก ดูเหมือนโลกไม่ได้จัดวางชีวิตเราให้เป็นไปตามความปรารถนา และหลายครั้งเราก็เชื่อได้ว่า ความสมบูรณ์พร้อมนั้น ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แม้แต่คนที่เขาแสดงออกว่า ชีวิตเขาช่างพรั่งพร้อม ได้ทุกอย่างตามที่ตนปรารถนา นั่นก็เป็นเพียงการโม้โป้ปดเท่านั้นเองกระมัง เพราะที่สุดแล้วเขาอาจซ่อนบางสิ่งเอาไว้ บางสิ่งที่เขามิได้ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด