\\/--break--\>
ว่าอันที่จริง เมื่อเราลองใคร่ครวญกับเรื่องนี้หลายครั้งเข้า ยุคสมัยนั้นเมื่อฝนตก ก็มักกินบริเวณเป็นวงกว้าง เรียกว่าตกไปไกล ตอนนั้นเราจึงไม่ได้ยินคำว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า เป็นไปได้กระมังว่า ช่วงเวลานั้น แม้จะยังผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นัก นั่นก็เป็นช่วงที่ผืนดินยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้าง
คราวหนึ่งเมื่อเป็นหนุ่มน้อย เราเดินทางผ่านที่ทางไกลข้ามเขาข้ามดอยไป แผ่นดินฤดูฝน เราจึงเห็นม่านฝน รถที่เรานั่งเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นบางคราว เราจึงผ่านพื้นที่ๆ ฝนกำลังตก และแน่นอนว่าภายในเวลาไม่นาน เราก็ทะลุม่านฝนออกมา สู่พื้นที่ๆ ฝนไม่ตก นั่นเป็นคราวที่เราตื่นตาตื่นใจในเรื่องของฝน นอกจากที่เราผ่านเข้าไปในม่านฝนหลายต่อหลายครั้งในวันนั้นแล้ว เมื่อมองออกไปไกลๆ ข้ามภูเขาบางลูก เราก็มองเห็นบางพื้นที่นั้นที่ฝนกำลังตก นั่นเป็นภาพที่งดงามไม่น้อยกระมัง
วันหนึ่ง เรายืนอยู่ใกล้ห้วยในหุบเขาเล็กๆ สักพักฝนตั้งเค้ามา ฟ้าร้องครืนๆ แล้วฝนก็ตก แต่ว่าตรงที่เรายืนอยู่นั้นมีเพียงละอองฝนที่โปรยปรายลงมากระทบร่างกายเราเพียงบางเบา แต่อีกฝั่งห้วยนั้น ว่าไปก็เป็นภูเขาอีกลูก ฝนตก คราวนั้นคงเป็นคราวที่เราได้ยืนอยู่ระหว่างรอยต่อของฝนตกกับฝนไม่ตกอย่างใกล้ชิดและนานที่สุด
มาถึงวันนี้ ทั้งที่ว่ากันมา ทั้งที่รู้สึกได้ และทั้งที่เห็นอยู่ โลกของเราเปลี่ยนไปมาก ฤดูฝนหลายปีมานี้ เมื่อฝนตก เราก็จะได้ยินว่า ไม่ไกลจากเราเท่าไหร่นัก ฝนไม่ตก เราได้ยินผู้คนพูดกันเรื่องฝนตกไม่ทั่วฟ้า ในการเดินทางไกลแต่ละครั้ง โอกาสที่เราจะเผชิญกับพายุฝนตลอด หรือเกือบตลอดการเดินทางนั้นพบได้น้อยลงมากนัก หรือบางคนก็ลืมอารมณ์การเดินทางไกลในสายฝนไปเสียแล้ว หรือเปล่า...มั้ง
ความหมายที่เรารู้สึกกับการได้นั่งอยู่ในสายฝน เราว่า ฝนแคบลง ฝนตกแคบลงมาก ยิ่งยามเดินทางเราจึงพบฝนเป็นหย่อมๆ และนับวัน ฝนก็ยิ่งแคบลง เดี๋ยวนี้เรายังได้พบม่านฝนที่มีรัศมีไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ นี่เป็นส่วนหนึ่งของภาวะโลกร้อนด้วยกระมัง....หรืออย่างไร