อันที่จริง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นมาตลอดชีวิตกระมัง แต่เราก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราทั้งหลายก็อาจจมอยู่ในสภาพวะเช่นนี้อยู่เสมอ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง พยายามเปลี่ยนอยู่บ้าง หรือสยบยอมอยู่บ้าง นั่นก็คงสุดแท้แต่วิถีของแต่ละคน ผิดหรือถูกก็อาจจะไม่มีอยู่ ความเหมาะสมของแต่ละคนคงจะเป็นเกณฑ์ได้กระมัง
เรื่องของเรื่องก็คือว่า....
ในวงสนทนา ผู้คนหลากหลายหน้าที่ภาระการงาน หลายวัย หลายที่มา เมื่อวงเริ่มต้นสนทนานั้น เป็นธรรมดาอยู่เองที่มันเคลื่อนย้ายประเด็นไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ควบคุมมากนัก ยิ่งในวงที่มีเหล้าเป็นปัจจัยของการอยู่ร่วมด้วยแล้ว เรื่องราวมันก็ยิ่งเคลื่อนย้ายมากขึ้น หลายประเด็น และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นั่นก็มิเป็นไรดอก มันจะหลายเรื่องหรือเรื่องเดียวกับไม่ใช่ปัญหา หรือเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ต่างคนก็ต่างยึดมั่นในถ้อยคำของตัวเองอย่างเหนียวแน่น ว่าง่ายๆ ก็คือ ต่างคนก็ต่างแบกอัตตาของตน แล้วบรรยากาศมันก็เกิดการโต้เถียง ความจริงข้อหนึ่งก็คือว่า เราก็เอาแต่คิดว่าเราจะพูดอะไรเพื่อเอาชนะคนอื่นๆ นั่นทำให้เราฟังสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างผิวเผินเท่านั้น หรือเราก็แทบไม่ได้ฟังเอาเสียเลย แล้วเราก็เอาแต่พยายามอธิบายความของเรา แล้วเราก็พบว่า ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจ
เช่นเดียวกัน คู่สนทนาที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เขาก็พยายามอธิบายในสิ่งที่เขาก็คิดว่าไม่เข้าใจ ความจริงคือ ต่างฝ่ายก็ต่างไม่เข้าใจ แล้วมันจะเข้าใจได้อย่างไร เพราะไม่มีใครฟังความ สิ่งที่เราและเขาได้ยิน ก็เพียงแต่คำ โดยปราศจากความ นั่นเอง
เวลาผ่านไป เมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง ต่างคนต่างแยกย้าย ดีหน่อย การโต้เถียงก็จบลง แย่หน่อยก็ขุ่นมัวต่อกัน มิตรภาพก็เข้าสู่ภาวะสลัวราง ที่แย่ที่สุดก็คือ มิตรภาพก็เลวร้ายลงกลายเป็นศัตรูเอาเสียเลย โกรธแค้นกันอย่างไม่มีทางให้อภัย อันนี้ก็มองในแง่ร้ายไว้ก่อน
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เมื่อวงสนทนาเลิกไป ต่างคนก็ต่างอ่อนล้า สูญเสียพลังงานมากมาย และไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย นานสองนานของการสนทนา จึงกลายเป็นเรื่องเสียเวลา เสียพลังงาน วงสนทนาอันว่างเปล่า ไร้ประโยชน์โภชน์ผลอันใด
ความจริงอันหนึ่งก็คือ วงสนทนาที่นำพาเราไปสู่การเรียนรู้นั้นมีอยู่.....