ภาษาหนังเขาก็คงจะบอกว่า ต้นกำเนิด หรือตำนานฟัด อะไรทำนองนั้นกระมังหากจะพูดถึงหนังเรื่องนี้ ของเฉินหลง นั่นคือ วิ่งสู้ฟัด หรือชื่อภาษาฝรั้งว่า Police Story ความแรกในหนังเล่าถึงการวิ่งไล่จับผู้ร้ายซึ่งเป็นเจ้าพ่อใหญ่ และพระเองก็สามารถจับผู้ร้ายได้ เรื่องดำเนินไปถึงศาล ในการใต่สวนคดี เจ้าพ่อกลับได้ยกฟ้อง ประเด็นหรือคำถามสำคัญที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างคือ ระหว่างที่ไล่จับนั้น จำเลยได้หนีไปอีกทางของรถเมล์ แล้วตำรวจ(คือพระเอก) มองเห็นหรือไม่ว่า ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือไม่เห็น คำถามต่อว่า เช่นนั้นแล้ว เมื่อไม่เห็นจะตัดสินได้อย่างไร ว่าจำเลยทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ประเด็นโต้เถียงเป็นไปทำนองนี้ ในที่สุดศาลสั่งยกฟ้อง......
พวกเขาทั้งหลายนั่งล้อมอยู่เป็นวงกลม มีสิ่งของหลายอย่าง เช่น แจกันดอกไม้ โถใส่เครื่องดื่ม และอะไรอีกสองสามอย่าง ตั้วอยู่ตรงกลางวงพวกเขาทั้งหลายวาดรูปสิ่งที่อยู่ครงกลางนั้น เมื่อเสร็จ ก็ส่งรูปที่ตนวาดไปด้านข้าง และส่งต่อไปเรื่อยๆ จนทุกคนได้ดูรูปทุกรูป และสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายเห็นก็คือ รูปที่ไม่เหมือนกับของตน บางคนซึ่งเป็นเด็กเล็ก พลั้งพูดออกไปว่า “นี่วาดผิด” แต่เมื่อดูไปจนหมด เขาจึงเข้าใจ
ในการสนทนา ประเด็นสำคัญที่หลายคนกล่าวถึงคือ การได้เห็นอีกมุมที่ต่างออกไป ภาพเดียวกันจากฝั่งหนึ่งหรือหลายฝั่งหลายมุมที่เรามองไม่เห็น ว่าก็ว่าที่สุดแล้ว เราก็เห็นเพียงมุมเดียว จากจุดที่เราอยู่ เช่นนั้นแล้ว เราจะสามารถชี้ชัด ตีค่า หรือ สรุปสิ่งต่างๆ ได้อย่างไรว่านั่นคือ ใช่ หรือไม่ใช่ จากเพียงมุมของเราเพียงมุมเดียว
อีกประเด็นสำคัญในการสนทนาคือ การมีคนอื่นที่คอยมองอีกมุมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดั่งเดียวกับกระบวนการเรียนรู้ของู้คน ความรุ้ที่สำคัญทั้งหลาย วิถี วิธีต่างๆ ในการแสวงหาความรู้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนจะต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เกี่ยวร้อยเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนภาพปรากฏที่แตกต่างในมุมตน มากไปกว่านั้น การทีคนอื่นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมนุษย์ผู้หนึ่งไม่อาจมีศักยภาพอันสมบูรณ์แบบ ว่าก็คือ นอกจากเห็นได้ไม่ทั้งหมด ยังกระทำได้ไม่ทั้งหมด
เป็นไปได้หรือไม่ว่า หากเฉินหลง กับตำรวจคนอื่นๆ ช่วยกันวิ่งไล่จับผู้ร้าย กระจายกันออกไปอย่างเชื่อมโยง สัมพันธ์ ก็จะหักล้างคำถามของทนายจำเลยที่ว่า เขาไม่สามารถมองเห็นอีกฟากหนึ่งของรถเมล์ได้ การมีคนหลายคน จะทำให้พวกเขาสามารของเห็นในหลายมุมได้ นั่นเอง