ชีวิตของกึ่งมนุษย์กึ่งวิทยานิพนธ์ ตอนที่ 2 ว่าด้วยเรื่องเพื่อน

 

                  ฉันเป็นคนมีเพื่อนน้อยมาก มากเสียจนเคยสิ้นหวังไปแล้วว่าชีวิตนี้คงต้องปลงๆไปเสียทีว่าจะไม่มีเพื่อนสนิท เพราะตั้งแต่เด็กแล้วที่ย้ายโรงเรียนบ่อยมากประถมถึงมัธยมก็ปาไปแล้ว 7 แห่ง และฉันมักจะรู้สึกเสมอว่ามีโลกหนึ่งใบที่ทำอย่างไรก็ไม่มีใครเข้าใจมันเท่าไหร่นัก โลกใบนั้นของฉันมักถูกเรียกจากคนอื่นว่า "เพี้ยน"  "ผีบ้า"  "ตาลอย" หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉันเลยเก็บมันไว้และจะมีแต่ฉันเท่านั้นที่จะเพลิดเพลินไปกับมันเวลาอยู่คนเดียว (หรือนึกว่าอยู่คนเดียว) และบ่อยครั้งที่ฉันก็สนุกกับมันจนไม่อยากจะทำอะไรตามใจคนอื่นที่ไม่เข้าใจโลกใบนี้ของฉัน ฉันเลยมีจุดจบวัยเด็กแบบมีเพื่อนสนิทปีละคนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนตัวเล็กๆที่ถูกรังแกหรือเงียบๆเรียบร้อยโดยมีฉันที่ดูติ๊งต๊อง เด๋อๆ เป็นเพื่อน  ฉันไม่เคยไปงานเลี้ยงรุ่นเลย เพราะฉันย้ายโรงเรียนบ่อยเกินไป 

 

อย่างไรก็ตามช่วงที่ทำวิทยานิพนธ์กลับเป็นช่วงที่ฉันมีจำนวนเพื่อนสนิทมากที่สุดในชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ใจ บางคนอยู่ที่เชียงใหม่ บางคนอยู่ที่กรุงเทพ ฉันไม่เคยรู้สึกยินดีขนาดนี้มาก่อน มากเสียจนความเหงา ความว้าเหว่ ความโดดเดี่ยวที่เคยรู้สึกอยู่เนืองๆก่อนหน้านี้จางหายไป ฉันรู้สึกว่าทำงานได้ดีขึ้น รู้สึกว่าต่อให้ตอนนี้จะงุดๆอ่านหนังสือ ทำงาน ไปไหนมาไหนคนเดียวไม่เจอใครเกือบอาทิตย์ แต่แค่รู้สึกว่ายังมีเพื่อนที่อยู่ไกลๆฉันก็พร้อมจะไปไหนต่อไหนตามลำพังได้

 

ฉันเจอพวกเขาโดยบังเอิญทั้งนั้น แต่พวกเขาอยู่ในที่ๆฉันตั้งใจจะไปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชมรมวรรณศิลป์หรือเวิร์คช้อปศิลปะ มิตรภาพระหว่างเราเป็นกระบวนการที่ค่อยๆเติบโต ฉันไม่ได้ชอบหน้าหรือประทับใจเพื่อนของฉันตั้งแต่แรกพบ ยิ่งคนล่าสุดฉันแทบจะไม่แคร์อะไรอีกแล้ว ไม่มีก็ไม่มี ฉันคุยกับใครก็ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันมากมายนัก 

 

มันไม่ง่ายเลยสำหรับฉันที่จะมีเพื่อนสักคนที่สนิทใจ เพราะเคยมีสองครั้งช่วงมหาลัยปอตรีที่ฉันเปิดเผยโลกของฉันและความฉูดฉาดของตัวเอง (ที่ออกจะผิดศีลธรมอันดีงามของสังคมไปหน่อย) แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังอย่างสนุกสนานราวกับคนแปลกหน้าทำให้เสียน้ำใจรุนแรงและตัดขาดกันไป

 

สำหรับเพื่อนที่มีอยู่ทุกวันนี้มันทำให้ฉันได้มองเห็นอย่างเต็มตาเต็มใจมากว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์สองคนที่หอบเอาความเป็นไปได้ และเรื่องราวมากมายในชีวิตมาตามวงโคจรของแต่ละฝ่ายนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือเห็นพ้องต้องกันทั้งในแง่ วิถีชีวิต รสนิยม ความเชื่อ แต่ทว่าต่างฝ่ายต่างอนุญาตให้อีกฝ่ายได้เป็นไป เผยแสดงความพิลึกพิลั่นที่มีในตัวแต่ละคนออกมาโดยไม่ยัดเยียดความหวังดี ความเชื่อ ความคิด หรือกดข่มกันโดยถือว่าตนรู้กว่า แน่กว่า เจ๋งกว่า แก่กว่า กระทั่งเรียกร้องให้ทำตามไม่ว่าจะด้วยเจตนาใด  

 

ฉันจึงไม่เคยรู้สึกถูกให้เกียรติในความบ้าบอของตัวเองขนาดนี้มาก่อน 555 นี่คือสิ่งแรกที่ฉันรู้สึกดีมาก ฉันเองก็พยายามระมัดระวังไม่ไปเผด็จการความหวังดีให้แก่พวกเขาและไม่ยึดถือว่าแนวทาง คำแนะนำ ความเข้าใจต่อโลกของฉันนั้นจะประยุกต์กับชีวิตพวกเขาได้  ลำพังกับของตัวเองก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ว่าเราต่างก็แคร์ตัวตนของตัวเองพอที่จะเปิดหน้าวิพากษ์วิจารณ์และขัดคอกันได้เต็มที่ ถกเถียงกันจนล้มคว่ำอย่างออกรสออกชาติ โดยฉันมักจะคิดว่าถ้าจะแตกหักกันเพราะเถียงกันก็ให้มันเลิกคบไปเลยยยย ไม่แคร์เว้ยยแต่ทว่าพื้นที่ตรงนี้บ่อยครั้งกลับกลายเป็นพื้นที่แห่งความคิด ความเข้าใจใหม่ๆ ต่อโลก ต่อเรื่องราวของฉัน (หลายครั้งที่เป็นประโยชน์แก่วิทยานิพนธ์ฉันมาก 55 )

  

หากจะบอกว่าจุดร่วมของเพื่อนสนิทฉันคืออะไร (ไม่รู้เค้าจะนับว่าสนิทกับฉันไหมแต่เอิ่ม ฉันนับของฉันเองละกัน)ฉันคงจะตอบว่าคนพวกนี้พร้อมที่จะเข้าถึง เข้าใจ ความคิดอื่นๆอันแปลกหน้า แปลกปลอมต่อเขา และก็พร้อมจะเผชิญกับมัน ปะทะกับมันและกลายเป็นสิ่งอื่น กลายเป็นคนที่เข้าใจผิดได้ กลายเป็นคนที่เขินอายได้  พวกเขาไม่คิดว่าตัวเองถูกต้องที่สุดและฉันคิดว่าพวกเขามองเห็นความเป็นไปที่ลื่นไหลคว้าจับได้ด้วยความคิด คอนเสปบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาให้ฉันได้เป็นว้อเป็นบ้าโดยที่ไม่คิดว่าฉันประหลาด เพราะพวกเขาเองประหลาดกว่าฉันมากๆ 55 และเข้าใจความเฉพาะเจาะจงของแต่ละอย่างที่ไม่เคยถูกครอบทับด้วยความเข้าใจอันลดทอนใดใดได้มิดชิดในแต่ละสถานการณ์ ใช่ คนเหล่านี้เป็นคนไม่ตัดสินใครง่ายๆ ไม่เหมาะรวม ด่วนสรุปเท่าไหร่นัก แต่แน่นอนเพื่อนฉันก็ไม่ได้เป็นเทวดา พวกเขาออกจะล้มลุกคลุกคลานกับชีวิตตัวเอง พังชีวิตตัวเองแบบงงๆ และก็มองเห็นถึงเหตุปัจจัยอันมากมายที่บางทีควบคุมได้ ควบคุมไม่ได้ หรือบังเอิญ ไม่บังเอิญ หรือมองไม่เห็นด้วยซ้ำ และชอกช้ำกับความเข้าใจผิดจากคนอื่นมามากมาย และน่าประหลาดพวกเขาต่างก็มีความลุ่มๆดอนๆของชีวิตในโรงเรียนสมัยเด็กเหมือนกันอย่างบังเอิญ 

 

เพื่อนสนิทที่เชียงใหม่ของฉัน เราเคยทะเลาะกันรุนแรงและเลิกยุ่งกันไปไม่รู้กี่รอบ แต่ไม่รู้เพราะอะไรสุดท้ายแล้วเราต่างก็ละอายใจที่เห็นความโง่งม ความอ่อนแอ การยึดถือตัวเองเป็นเรื่องไร้สาระหากเทียบกับการได้เข้าใจอะไรๆที่มากไปกว่านี้อีก และเข้าใจเงื่อนไขของกันและกัน แน่นอนว่ามันใช้เวลาพอสมควรกว่าความสดใหม่ของแผลจะบรรเทาลงได้ มันเป็นมิตรภาพที่หนังเหนียวสุดๆ จนฉันคิดว่าเชี้ย ตายยากชิบหาย ครั้งหนึ่งฉันกับเขาเคยพูดว่าระดับศีลธรรมเรามันน่าจะพอๆกัน หรือต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่เราเข้าใจความอยากที่แต่ละคนมีที่พาตัวเองไปถูลู่ถูกังเล่นๆให้เจ็บช้ำกับความบัดซบของชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

ส่วนอีกคน เรารู้จักกันไม่นาน ฉันและเขามาจากพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกันมากๆ (คือเขารวยแบบ upper middle class in Bangkok และชอบพาฉันไปรื่นรมย์ในร้านน้ำหอมแต่งบ้านอะไรแบบนั้น) ฉันคิดว่าเขามองเห็น "ความเป็นคน" ของคนมากๆคนหนึ่ง เขาชอบใช้คำนี้เสมอๆเวลาพูดเรื่องหลายเรื่อง เมื่อไม่นานเขาหัวเสียกับการที่บทสนทนาของเขาระหว่างใครหลายๆคนถูกกีดกันด้วยท่าทีบางอย่าง ท่าทีที่คนพวกนั้นไม่ค่อยพูดถึงสิ่งที่ตัวเองคิด หรือความหมายที่ตัวเองให้ แล้วพะวงแต่ว่ามันฟังดูฉลาดพอไหม มันครบถ้วนตามทฤษฎีในตำราตะวันตกรึเปล่า หรือเห็นว่าการที่เขาพูดเรื่องบางอย่างเป็นสิ่งที่อภิปรัชญา ศัพท์ใหญ่ เรียกร้องความลุ่มลึก ทั้งๆที่มันเป็นเพียงเรื่องความเข้าใจและมุมมองที่เรามีต่อสิ่งที่ใช้ชีวิตประจำวันร่วมทั้งสิ้น   ฉันเห็นใจเขานะ แม้ว่าบางประเด็นเราจะขัดกันนิดหน่อยที่เขามีจุดยืนแบบ separatist แต่ฉันก็เห็นด้วยว่า คนแถวนี้ไม่ค่อยคิดอะไรของตัวเอง เห่อคอนเสปฝรั่งแบบนกแก้วนกขุนทองประหนึ่งสินค้านำเข้าหรูหรา ซึ่งเขามักจะหงุดหงิดกับความ PC gone wrong หรือ ความเข้าใจผิวเผินเรื่อง Queer แบบมั่วๆ (เอาไว้ฉันจะชวนเขามาเขียนในบล็อกฉันดีกว่า 555) และเขาคือคนที่เจอหน้ากันแล้วก็พ่นๆๆๆเรื่องธีสิสใส่กันจนหน้ามืดตาลาย และฟังกันจนหูอื้อไปข้างหนึ่ง จนบางครั้งฉันต้องห่างกับเขาสักสามสี่วัน เพราะเห็นหน้าแล้วเครียดเรื่องธีสิสรวมถึงจิตที่ไม่ปกติของแต่ละฝ่าย

 

สำหรับคนอย่างฉันที่เพิ่งได้สัมผัสกับแง่มุมความสัมพันธ์อันพิเศษและเฉพาะเจาะจงนี้ของมนุษย์มาไม่นานนัก ฉันคิดว่าที่ผ่านมาฉันให้ค่ามิตรภาพต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์อื่นของมนุษย์กับสิ่งอื่น หรือกับมนุษย์ในรูปแบบอื่น  มิตรภาพสำหรับฉันแทบจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่จะไม่เผด็จการในความสัมพันธ์ใดใด ไม่ครอบครองกันและกัน และจริงใจต่อตัวเองและอีกฝ่าย เผชิญหน้ากับความพิศวงของอีกชีวิตและชีวิตตัวเอง เพราะเมื่อไหร่ที่มันไม่เป็นอย่างนั้นก็ต้องมีเถียงกันมันส์ฟาดปากทีนึงแน่นอน 5555 

 

 

  ป.ล. ฉันหวังว่าพวกเข้าจะไม่เข้ามาอ่าน ไม่งั้นฉันอาจจะเขิน และเกร็งหน่อยๆ ฮ่าๆๆๆ

 

ชีวิตของกึ่งมนุษย์ กึ่งวิทยานิพนธ์

ภายใต้บรรยากาศแห่งความกระอักกระอ่วนของความไม่โปร่งใสในกระบวนการเลือกตั้ง  ความทุลักทุเลของความโง่เขลาและทะลักล้นทางอำนาจจากรัฐบาลเผด็จการ สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ที่คุณพูดอะไรมากไม่ได้นอกจาก appreciate ความเนียนดำของถนน