Skip to main content
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น

 

อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่า

หมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่า

หรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ

เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ฉันได้เดินทางสู่เทือกภูพาน เพื่อไปพบเจอกับความตายอันงดงามนั้น และเรื่องราวที่อยากถ่ายทอด ไม่ใช่เพียงเรื่องของเรือนร่างที่เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีธรรมชาติ แต่เป็นบันทึกที่เจ้าของร่างทิ้งเอาไว้ให้เราอ่านเป็นบทเรียน

 

เด็กหญิง อายุ 12 ปี ป่วยเป็นมะเร็งในตับอ่อนรายที่สามของประเทศไทย หมอบอกว่าเธอจะมีเวลาเหลือ 2 เดือน ถ้ารักษาด้วยเคมีบำบัด แต่เธอได้ปฏิเสธการแพทย์แผนปัจจุบัน แล้วตัดสินเลือกธรรมโอสถเยียวยาตัวเอง จนมีเวลาอยู่ต่อมาได้อีก 4 เดือน พร้อมบันทึก 4 เล่ม ที่ตรึงใจ

 

 

ตอนที่แล้ว.....แม่พาลูกไปอาบแดด ที่ข้างกุฏิ

 

ถึงเวลาที่ต้องเข้านอนในห้อง แม่อุ้มประคองร่างลูกน้อยด้วยความระมัดระวังเกรงว่าลูกจะเจ็บ เพราะร่างกายของลูกบอบบางเหลือเกิน ก่อนนอนของทุกวันแม่กับพ่อจะต้องนวดฝ่าเท้าให้ลูก แต่วันนี้แม่ทำคนเดียวเพราะพ่อไปงานศพลุงยุทธ แม่นวดเบาๆอย่างทะนุถนอม แล้วลูกก็ผ่อนคลายร่างกายอย่างสบายอยู่บนเตียงนอน มีหนังสือที่ลูกชอบอ่าน คือประวัติหลวงปู่มั่น วางไว้บนหัวเตียง (ลูกน้อยชอบวางหนังสือไว้บนหัวเตียงทุกครั้งก่อนนอนตั้งแต่เล็กๆแล้วถ้าไม่มีหนังสือจะนอนไม่หลับต้องหามาจนได้) คืนสุดท้ายมีหนังสือ 4 เล่มอยู่บนหัวนอนคือหลวงปู่มั่น, รัตนนารี, สัมมาสัมพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก, 40 ภิกษุณีอรหันต์

 

คืนนั้น ลูกนอนหลับตั้งแต่หัวค่ำ แต่ตื่นบ่อยมากเพราะหิวน้ำบ่อยกว่าปกติ (อาจเป็นเพราะเมื่อตอนกลางวันลูกดื่มน้ำมะพร้าวไปสามลูก) และถ่ายอุจจาระไม่รู้ตัว

"ลูกรู้สึกตัวมั้ยว่าลูกถ่าย" ลูกน้อยส่ายหน้าเบาๆ ทำให้แม่กังวลใจไม่น้อยทำไมลูกแม่จึงเป็นอย่างนี้

 

ประมาณห้าทุ่มลูกสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย แม่ซึ่งยังหลับๆตื่นๆ คอยสังเกตอาการของลูก รีบกอดลูกไว้แนบอก

"แม่จ๋า มีคนมัดมือมัดเท้าของป่านเอาไว้ จนอึดอัดหายใจแทบไม่ออก ป่านพยายามดิ้นรนต่อสู้ แล้วตัดสินใจหายใจเข้าลึกๆ จึงตื่นจ้ะแม่"

"มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้นเองแหละลูก ไม่มีใครมาทำอันตรายอะไรหนูได้หรอก" ลูกกอดแม่ แม่กอดลูกด้วยความรักและสงสารลูกจับใจ ลูบหัวให้ผ่อนคลาย ลูกเงียบไปชั่วครู่ แล้วถามว่า

"เมื่อไหร่พ่อจะกลับมาล่ะจ๊ะแม่ พ่อคงกลับถึงวัดตอนเช้านะแม่" คำถามของลูก ทำให้แม่รู้ว่าจิตใจของลูกคงรอพ่ออยู่

"พ่อคงถึงพรุ่งนี้เช้านะลูกเพราะนี่ก็ดึกแล้ว" ตามกำหนดแล้วเป็นอย่างนั้น และลูกก็รู้ว่าพ่อไปช่วยงานศพของลุงยุทธ ลุงยุทธที่เป็นมะเร็งเช่นเดียวกันกับลูก และเป็นหัวหน้าของพ่อ ได้เสียชีวิตไปเมื่อตอนสายของวันที่


20 สิงหาคม 2551 แต่ไม่นานนัก พ่อก็มาถึง พ่อกลับมาที่วัด มาหาลูกในเวลาเที่ยงคืน พ่อคงห่วงลูกมาก การขับรถทางไกลจากขอนแก่นมาดงหลวง หนทางไม่ใกล้นัก แม่รู้ว่าหัวใจของพ่ออยู่ที่ลูกตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อมาเห็นอาการบางอย่างของลูก จึงกระซิบบอกกับแม่ว่า

"ลูกเราอาการไม่ดีแล้วนะแม่ สงสัยว่าลูกคงอยู่กับเราได้อีกไม่นาน" พ่อพูดเบาๆไม่ให้ลูกได้ยิน แม่นิ่งเงียบไม่โต้ตอบ เพราะหัวใจของแม่มันไม่ยอมรับรู้ในเรื่องนี้

"พ่อ ลูกบอกว่าลูกหายใจไม่สะดวกด้วยนะ" แม่เปลี่ยนเรื่อง พ่อซึ่งนั่งจับมือลูก ลูบหัวลูกอย่างอ่อนโยน

 

แม่จึงทำ "กัวซา" และนวดเฟ้นตามร่างกายโดยเฉพาะที่เท้าอันเย็นเฉียบให้ลูก แม่นวดคลำอยู่อย่างนั้นแทบตลอดคืน

คืนนั้น เป็นคืนที่ยาวนานและทรมานหัวใจแม่อย่างเป็นที่สุด แม่อยากให้ท้องฟ้าสว่างเร็วๆเพื่อว่าบรรยากาศแห่งความกดดันจะทุเลาเบาบางลงบ้าง พ่อและแม่นั่งสมาธิประคองมือลูกสาวตัวน้อยไว้ในอุ้งมือ แล้วแผ่เมตตาภาวนาถ่ายทอดพลังชีวิตให้แก่ลูกจนกระทั่งลูกหลับไปอย่างสงบสบาย

 

ทุกๆวันที่ลูกนอนอาบแดด ลูกจะนอนหลับตาทำสมาธิ วันนี้ลูกหลับตานิ่งนานคล้ายหลับลึกจนแม่เป็นห่วง แสงแดดจ้ามาก แม่จึงอุ้มลูกกลับมานอนที่ระเบียงกุฏิ ในขณะที่ช้อนร่างเล็กๆของลูก น้ำหนักร่างช่างเบาหวิวเหลือเกิน แต่ทว่าในใจแม่กลับหนักอึ้ง เมื่อรู้ว่าวันนี้ความร้อนของแสงตะวันไม่สามารถสลายความเย็นเฉียบที่ห่อหุ้มแข้งขาของลูกได้อีกแล้ว

 

แม่ค่อยๆวางร่างอันบางเฉียบลงนั่งพิงเบาะหนา แม่ส่งถาดผลไม้ให้ลูกอธิษฐานถวายแด่หลวงพ่อ และกล่าวอุทิศบุญ จากนั้นแม่ค่อยๆประคองให้ลูกนอน ปกติลูกจะนอนตะแคงอ่านหนังสือ สลับกับการเขียนบันทึก วันนี้ แม่เห็นลูกหยิบเล่มที่เป็นเรื่องราวของหลวงปู่มั่นมาอ่านบ่อยที่สุด สลับกับเล่มอื่นๆ ที่ลูกชอบอ่าน หนังสือทั้งหมดที่มีอยู่หลายสิบเล่มลูกอ่านหมดแล้ว วันนี้คงเป็นวันที่อ่านทบทวนในเรื่องที่ลูกสนใจจริงๆ

 

แม่นวดให้ลูกตลอดเวลาจนลูกหลับไป และตื่นมาในเวลาเที่ยงกว่าๆ แม่เห็นความสดชื่นของลูกมีมากขึ้น จึงวางใจว่าลูกกลับมาเข้มแข็งได้เหมือนเดิมอีกครั้ง

 

หลังจากกินอาหารเที่ยง ลูกนอนหลับอย่างยาวนาน แม่ไม่พยายามรบกวนใดๆ จนกระทั่งลูกตื่นขึ้นมาในเวลาสี่โมงเย็น ได้เวลาอาหารเย็นและเป็นเวลาที่ป้าเฒ่ากับลุงเปี๊ยกขึ้นมาเยี่ยมตามปกติ วันนี้ป้าเฒ่ามีเพื่อนพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลเขาวงมาด้วยหนึ่งคน

 

ป้าเฒ่ากับเพื่อนพยาบาลจับที่ชีพจรของลูกแล้วมองหน้ากัน ป้าเฒ่าบอกว่าพรุ่งนี้จะขอเตียงผู้ป่วยกับออกซิเจนที่โรงพยาบาลมาให้ เวลานั่งนอนจะได้สะดวกขึ้น จากนั้นป้าเฒ่าก็พาเพื่อนพยาบาลเดินชมบริเวณวัดลุงเปี๊ยกไม่ได้ไปด้วย นั่งคุยกับพ่ออยู่ใกล้ๆที่ลูกนอน พ่อคงเห็นอาการบางอย่างของลูกที่คิดว่าผิดปกติ จึงร้องถามอย่างตกใจ

"ป่าน เป็นอะไรไปลูก" ลูกสบตาพ่อสงบนิ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

"พ่อ หนูไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย" ทุกคนชะงัก แม้แต่แม่ พ่อและลุงเปี๊ยกหันมาจับมือกันอย่างดีใจ หัวเราะอย่างลืมตัว น้ำตาของแม่ที่ปริ่มๆพลัดร่วงลงมาอย่างไม่รู้ตัว

ป้าเฒ่ากับเพื่อนๆเดินกลับมาที่กุฎิอีกครั้งและบอกกับลูกว่า

"รอป้านะ แล้วป้าจะกลับมาหาอีกในคืนนี้" ลูกน้อยพยักหน้ารับคำช้าๆ

จากนั้นป้าเฒ่า ลุงเปี๊ยกและเพื่อนที่มาด้วยกันก็เดินทางกลับ

 

เมื่อทุกคนกลับลงไปแล้ว เวลาประมาณสี่โมงเย็น ลูกทานผลไม้แล้วเขียนบันทึกว่า

16.18 น. กินหมากเบน+น้อยหน่า+ส้มเช้ง
16.31 น. กินผลไม้เสร็จ ใช้เวลา 13 นาที

 

นี่คือบันทึกช่วงสุดท้ายของลูก ถ้าลูกยังแข็งแรงเช่นทุกวัน ลูกจะต้องบันทึกอาการของร่างกายที่เกิดจากการพอกยาในตอนหัวค่ำ การพอกยาครั้งสุดท้ายนี้ ลูกไม่สามารถบันทึกเพื่อรายงานหลวงพ่อได้อีกแล้ว

 

(ยังมีต่อ)

 

วันสุดท้ายของชีวิต เราควรจะมีท่าทีต่อมันอย่างไร ฉันถามตัวเองบ่อยครั้ง และยังสงสัยว่าการเตรียมพร้อมนั้นต้องพร้อมตั้งแต่เมื่อใด และอย่างไรจึงจะเรียกว่าพร้อม

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…