Skip to main content
การที่คนป่วยคนหนึ่ง ได้เลือกหนทางรักษาตัวเองด้วยตัวเอง น่าจะมีองค์ประกอบอยู่สองอย่างที่สำคัญ นั่นคือ หนึ่ง ความรู้ที่มีพร้อมในเรื่องวิธีการรักษาที่ตัวเองเลือก สอง ความไม่รู้ในวิธีการใดๆ แต่ต้องตัดสินใจเลือกในสิ่งที่คิดว่าสะดวกทั้งต่อตนเองและคนดูแล
\\/--break--\>

คุณกำลังดูแลคนที่คุณรักด้วยวิธีการไหนคะ

กรณีของแม่ชีน้อย เธอเลือกจากใจที่เปี่ยมศรัทธา และหาใช่วิธีการรักษาในทางกายไม่ แต่บังเอิญโชคดี ที่เธอมีครอบครัวอันเป็นที่รักคอยหนุนช่วยทางด้านการรักษาร่างกายไปพร้อมๆกัน

ตอนที่ 4 ได้พบกับหลวงพ่อ

พี่พยาบาลคนนั้นเดินจากไปแล้ว  แม่จึงเข้ามาถามลูกเพื่อให้ลูกเป็นคนตัดสินใจ  แต่ลูกอ่อนเพลียจนไม่มีแรงที่จะพูด แม่จึงถามลูกว่า แม่ให้ป่านเลือกนะลูกว่า  ข้อหนึ่งลูกจะให้หมอทำคีโมหรือไม่  ข้อสอง หรือว่าลูกจะกลับไปรักษาธรรมชาติบำบัดที่สวนหมอเขียว(แม่พูดพลางชี้นิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว และสองนิ้ว) คำตอบที่ได้รับคือ ลูกชูมือขึ้นสองนิ้ว แม่ดีใจที่เราคิดเหมือนกัน แม่ไม่อยากเห็นลูกทรมานมากไปกว่านี้อีกแล้ว

"ถ้างั้นกลับบ้านเรากันนะลูก"
ลูกมีอาการดีใจ สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความสุขกลับมาอย่างฉับพลัน

ถึงกระนั้นแม่เองก็ยังกังวลใจไม่น้อย ในการดูแลลูกโดยปราศจากเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น จึงเตรียมซื้อออกซิเจนกระป๋องเล็กๆไว้ให้ลูกกับรถเข็นหนึ่งคัน  ส่วนพ่อได้ไปติดต่อขอรถพยาบาลกับโรงพยาบาล กำหนดการที่จะเดินทางได้คือวันพรุ่งนี้ตอนเช้า

16 พฤษภาคม 2551

"ป่านอยากไปอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อ" ลูกบอกแม่กับพ่อในเช้าวันนั้น ก่อนที่จะออกเดินทาง
"ที่วัดไม่มีเครื่องมือพยาบาลอะไรเลยนะลูก" พ่อย้ำ
"ไม่เป็นไรค่ะพ่อ ป่านอยากไปอยู่กับหลวงพ่อ" ลูกยืนยัน
"แต่ว่าตอนนี้ร่างกายป่านยังไม่แข็งแรงนัก ไปรักษาตัวที่สวนป่านาบุญก่อนนะลูก"
"ค่ะ" ลูกรับคำอย่างเข้าใจในความจำเป็น

ความผูกพันที่ลูกมีต่อหลวงพ่อ คงเริ่มตั้งแต่การได้พบกับท่านในครั้งแรกนั้นแล้ว


วันนั้น วันที่
25 เมษายน 2551 หลวงพ่อมีธุระบางอย่างที่จังหวัดสกลนคร ขณะที่ลูกนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลรักษ์สกลมาตั้งแต่เมื่อวาน อาจารย์ชนินทร์ ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ได้เคยนิมนต์หลวงพ่อเอาไว้ว่าอยากให้ท่านมาโปรดเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ศูนย์อินแปง เพราะอาจารย์ชนินทร์มาเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเครือข่ายอินแปงกับการสร้างสังคมเกษตรกรรมรอบเทือกเขาภูพาน ได้มาพบลูกที่นอนป่วย และเห็นว่าลูกเป็นเด็กดีที่น่าช่วยเหลือ จึงนิมนต์หลวงพ่อเอาไว้

วันนั้น ด้วยเหตุบังเอิญ ที่อาจารย์อยากจะนิมนต์หลวงพ่อ และหลวงพ่อก็อยู่ในเมืองนั้นแล้วด้วย การนัดหมายจึงเกิดขึ้น โดยที่หลวงพ่อเดินทางมารออาจารย์ชนินทร์ที่โรงพยาบาล ขณะที่รอหลวงพ่อท่านได้นั่งสมาธิอยู่ที่ห้องโถง บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น แม่มารู้จากปากของหลวงพ่อ เมื่อเวลาผ่านมาแล้วเกือบ 4 เดือน

"ก่อนที่เราจะไปเยี่ยมเขาในห้อง เรานั่งสมาธิรอคนที่จะมาพาไป อยู่ข้างนอก มีความลึกลับบางอย่างสื่อสารกับเราได้ บอกถึงสภาวะบางอย่างของเขา เมื่อไปถึงเราก็บอกเขาตรงๆไปเลย ตรงกับสภาวะจิตของเขานั่นล่ะ บอกให้ปล่อยวาง แยกเวทนา แยกกาย แยกจิตออกจากกัน จนกระทั่งให้ปล่อยวางแม้กระทั่งจิต ซึ่งเขาก็ทำได้นะ"

ลูกแม่ คำพูดนี้ของหลวงพ่อ แม่ได้รับฟังในวันที่17 กรกฎาคม 2551 วันนั้นหมออพภิวันท์ นิตยารัมภ์พงศ์ มาถ่ายรูปและสัมภาษณ์ลูก และถามถึงการที่ลูกได้พบกับหลวงพ่อในครั้งแรกว่า ลูกได้เรียนรู้การปฏิบัติธรรมอย่างไร คนที่ตั้งคำถามอาจจะต้องการวิธีการที่ชัดเจน แม่เห็นลูกนิ่งคิด แล้วค่อยๆตอบอย่างช้าๆว่า

"เมื่อหลวงพ่อบอกว่า ให้ปล่อยวาง ก็ค่อยๆแยกความรู้สึกออกไป เห็นชัดเจนว่ากายกับจิตแยกกัน จิตเบาสบายมากขึ้น" น้ำเสียงสดใส คำตอบกระชับชัดเจน เปี่ยมพลังอยู่ภายใน
"ใช้เวลานานแค่ไหนคะ จึงแยกได้ชัดเจน" คุณหมอถามต่อ
"ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีค่ะ"    ลูกตอบช้าๆ น้ำเสียงมั่นคง ทุกคนในที่นั้นส่งเสียงร้อง ฮ้า!! แล้วพากันหัวเราะชอบใจ
"คนที่อายุมากแล้ว ยังทำไม่ได้อย่างหนูเลยนะลูก" หมออพภิวันท์ ว่า

มีวีดีโอที่พ่อบันทึกการพบกับหลวงพ่อในครั้งนั้นด้วย น่าแปลก ที่วันนั้นเป็นวันที่ใครหลายคนมาเยี่ยมลูกกันเต็มห้องไปหมด เขาทั้งหมดได้กราบหลวงพ่อด้วย แม้กระทั่งลุงยุทธที่จากโลกนี้ไปก่อนลูกหนึ่งวัน ก็ยังได้กราบหลวงพ่อ เพราะลุงยุทธยังเดินเหินได้ จึงมาเยี่ยมลูกพร้อมพี่น้องชาวบ้านจากบ้านบัวอีกหลายคน

หลวงพ่อถามลูกว่าชื่ออะไร ลูกตอบว่าชื่อวิมุตตา ใครเป็นคนตั้งให้ ลูกบอกว่า พ่อและแม่ แล้วหลวงพ่อก็พาลูกทำสมาธิ จากนั้นก็ให้ธรรมะ ช่วงที่สอนธรรมะทุกคนออกไปอยู่ข้างนอกห้อง เหลือเพียงพ่อกับย่า เมื่อเสร็จการให้ธรรมะแก่ลูกแล้ว หลวงพ่อหันมาพูดกับคุณย่าว่า

"คนนี้จิตเขาดีมาก" หมายถึงจิตของลูก แล้วชี้ไปที่ตัวคุณย่า
"อย่าห่วงเขาเลยห่วงตัวเองดีกว่า" แล้วท่านก็กลับไป

นับว่าเป็นวันแห่งปรากฏการณ์พิเศษสำหรับลูก เพราะทีมคุณย่า อันมีญาติพี่น้องทางจังหวัดมุกดาหารและสกลนครได้ไปถวายผ้าจีวรองค์พระธาตุพนม เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ป่านตั้งแต่เช้า ก่อนที่จะมาเยี่ยมป่านและได้กราบหลวงพ่อกันถ้วนหน้า

นับแต่นั้นมา ลูกจะนอนหลับตานิ่งนานๆ ระยะแรกๆ ด้วยความห่วงใยของพ่อ จึงเฝ้าแตะตัวลูกเบาๆ จนลูกบอกว่า
"พ่อ ป่านกำลังทำสมาธิ" จากนั้นเราทุกคนไม่พยายามรบกวนเวลานั้นของลูกอีกเลย

ครั้งที่สอง ที่ลูกได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ

วันที่ 30 เมษายน 2551 ด้วยความบังเอิญ ที่ลูกและหลวงพ่อต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยเที่ยวบินโดยสารเดียวกัน หลวงพ่อรับกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ ส่วนลูกอาการไม่ดีขึ้นญาติก็อยากให้ไปรักษาและตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดอีกหนที่โรงพยาบาลรามาฯจะได้รักษาที่ดีที่สุดและรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะผลการตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อในตับหลายจุด

หลวงพ่อแวะมาเยี่ยมลูกอีกครั้งที่โรงพยาบาลรามาฯในวันที่ 3 พฤษภาคม ท่านได้ให้ธรรมะ แก่ลูกจนกระทั่งจิตของลูกมีกำลังมากขึ้น ความเจ็บปวดลงไปมาก

"ตอนนั้นก็สอนให้เขาดูเวทนา ให้สู้กับความเจ็บปวด สอนให้วางกาย วางเวทนา และให้วางจิตไปเลยทีเดียว" หลวงพ่อเล่าให้เราฟังทีหลัง และครั้งนั้นหลวงพ่อยังชวนลูกมาอยู่ที่วัดด้วย

"ไปอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อไหม" หลวงพ่อถามลูก
"ไปค่ะ" ลูกตอบจริงจัง
"ที่วัดหลวงพ่อไม่มีเครื่องมือพยาบาลนะ ไม่มีอะไรเลยนะ ต้องเดินขึ้นภูเขาด้วย"
"ไปค่ะ"ลูกย้ำ

แม่กับพ่อไม่คาดคิดเลยว่า สิ่งที่ลูกพูดคือความตั้งใจจริงอย่างแน่วแน่ และลูกได้เลือกทำ จนกระทั่งวาระสุดท้าย

การร้องขออยากกลับบ้านของลูก จึงหมายถึงการขอกลับมาอยู่กับหลวงพ่อ จริงอยู่แม้เราจะไม่ได้บอกลูกว่าลูกเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เพื่อไม่อยากให้ลูกทุกข์ใจ แต่ลูกก็น่าจะรู้ว่าความทรมานเพราะเครื่องมือการแพทย์ และการดูแลด้วยการแพทย์ทางเลือกนั้น อะไรเป็นสิ่งที่ลูกน่าจะเลือกมากกว่ากัน ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลลูกไม่ชอบห้องแอร์ ไม่ชอบสายออกซิเจนที่เสียบอยู่ที่จมูกตลอดเวลา ไม่ชอบเข็มน้ำเกลือที่คาแขน ยิ่งนานวันแขนขาและท้องยิ่งบวมเบ่ง

ความเมตตาของพลวงพ่อ ที่มีต่อลูกถึงสองครั้ง คือสายน้ำทิพย์ที่ชะโลมเลี้ยงหัวใจของเราทุกคน ราวกับสวรรค์ประทานมา แต่เบื้องหลังทั้งมวล ย่อมมีเหตุปัจจัยที่พิสูจน์ได้ แม้นว่าพ่อกับแม่ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อน แต่การที่อาจารย์ชนินทร์ ได้มารู้จักกับเรา และนิมนต์หลวงพ่อมาโปรดลูก เพราะเห็นว่าพ่อทำงานกับพี่น้องชาวบ้านที่ด้อยโอกาสมานาน การย้อนคืนของการดูแลจึงมีวงจรเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่ก็น่าภาคภูมิใจและเป็นกำลังใจแก่เราในวันต่อๆมา ของการดูแลเยียวยาลูก

ไม่ใช่เฉพาะหลวงพ่อเท่านั้นที่เมตตาลูก ยังมีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่เป็นเครือข่ายงานพัฒนาทั่วประเทศ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมลูกไม่ขาดสาย ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลรามาฯ พ่อกับแม่ไม่เคยโดดเดี่ยวเลย แม้ความทุกข์ท่วมท้นในอกก็ตาม

อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่แม่ต้องเอ่ยถึง  คือหมอโซนัม หมอชาวธิเบต ท่านได้รับเชิญจากอาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ให้มาเปิดคอร์สอบรมและรักษาด้วยการแพทย์แผนธิเบต ที่อาศรมวงศ์สนิท  เมื่อคุณหมอรู้เรื่องของลูก ท่านได้สละเวลาเดินทางมาเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลและที่สวนป่านาบุญ พร้อมทั้งมอบยาธิเบตให้

สายใยที่มีคุณค่าเหล่านี้ ลูกได้สัมผัสด้วยตัวเองจนกระทั่ง ในเวลาต่อมา ลูกอธิษฐานจิตว่า ถ้าลูกหายจากโรคร้ายนี้ ลูกอยากเรียนรู้ด้านการแพทย์แผนธิเบต ที่ประเทศธิเบต

แต่ความป่วยไข้ก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าลูกได้ก้าวข้ามความเจ็บปวดไปแล้วก็ตาม

ในวันที่ 17 กรกฎาคม หมออพภิวันท์ ยังได้ถามลูกว่า
 "ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลรามาฯ ถ้าเทียบความเจ็บปวดทั้งหมดมี 10 ระดับ ตอนนั้นน้องป่านปวดในระดับไหนคะ" แม่ชีอพภิวันท์ เป็นหมอเชี่ยวชาญด้านเด็ก
"ปวดระดับ 6 ค่ะ" ลูกบอก
"แล้วหลังจากที่ทำสมาธิตามที่หลวงพ่อสอน ความเจ็บปวดลดลงเหลือเท่าไหร่คะ"
"เหลือ 3 ค่ะ" นั่นคือความเจ็บปวดลดลงตั้งแต่ได้เจอหลวงในครั้งแรก แสดงว่าลูกมีความก้าวหน้าทางจิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะลูกบอกว่า
"ไม่ปวดเลย ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลรามาฯ"

พัฒนาการด้านในของลูกยืนยันได้จากสมุดบันทึกของลูก ที่เขียนอย่างละเอียดละออแทบทุกเวลา ทุกกิจกรรม ตลอดเวลา 3 เดือนกว่าที่ลูกออกมาจากโรงพยาบาล บางอย่างทำให้แม่มองเห็นความลึกซึ้งในการมองชีวิตของลูก และทำให้เรามองย้อนเข้ามาที่ตัวเองด้วย

เวลาสายๆ เราออกเดินทางจากโรงพยาบาลรามาฯ มุ่งหน้ามาบนถนนสายมิตรภาพ ไปสู่สวนป่านาบุญของหมอเขียว อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และที่จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่เราแวะพักที่ปั๊มน้ำมัน ลูกพยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเปลพยาบาล พ่อรีบประคองช่วย ลูกยิ้มให้พ่อ โดยที่ไม่ได้พูดจาอะไร ลูกดึงเข็มน้ำเกลือที่มีน้ำเกลือและมอร์ฟีนระงับความปวดออกจากแขนที่บวมเบ่ง แล้วเหวี่ยงมันไปข้างตัวอย่างไม่ใยดี เมื่อแขนทั้งสองเป็นอิสระ ลูกโผมากอดพ่อ พร้อมกับบรรจงหอมแก้มพ่ออย่างซาบซึ้งอยู่นาน

สร้างความแปลกใจและกังวลใจให้กับพี่พยาบาลประจำรถโรงพยาบาล ที่กลัวว่าลูกอาจจะปวดและเป็นอันตราย

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…