Skip to main content

ในราวกลางเดือนมิถุนายน ลูกยังลุกขึ้นนั่งได้เองบ้าง และบันทึกประจำวัน นอกจากจะเป็นเรื่องการกินยา อาหาร ที่คล้ายๆกันในแต่ละวัน จะแตกต่างไปบ้างเมื่ออาหารบางอย่างที่ตรวจต่อมไทมัสแล้วกินไม่ได้ ทั้งที่วันก่อนๆเคยกินได้ เช่น บันทึกของวันที่ 19 มิถุนายน ลูกเขียนว่า กินแกงอ่อมไม่ได้
\\/--break--\>

"ล้างมือด้วยมะกรูด แปรงฟัน เช็ดมือ ปาก  กินน้ำอุ่น พ่อซักกางเกงให้ ฟัง CD หลวงพ่อเทศน์ อ่านหนังสือ นอน พ่อนวดให้"

"หลวงพ่อมาดูสมุดบันทึก และภาวนาให้หมอเทวดามาช่วยรักษา ส่วนเราท่องพุทโธไปด้วย หลวงพ่อบอกว่าวันนี้หน้าตาแจ่มใสดี หลวงพ่อกลับ กินยาธิเบต น้ำอุ่น กินยาญี่ปุ่น นอนพัก กินฟักทอง กินมังคุด (พ่อผ่าดูแต่ละลูกเน่าหมด เหลือลูกสุดท้าย พ่ออธิษฐานว่าถ้าลูกข้าพเจ้าจะหายขอให้ได้กิน ผ่าลูกสุดท้าย ลูกนี้สีสวยเนื้อขาวสด น่ากินมาก) กินข้าวนึ่งปลา ล้างมือ บ้วนปาก กินน้ำอุ่น อ่านหนังสือ"

"ฝนตก นอนกอดพ่อ .........ฝนเริ่มหยุดตก มีหมอก พ่อเปิด CD ขลุ่ยธิเบต แม่ยังไม่มา พ่อนวดหัว +หู ให้ แล้วพูดเรื่องภารกิจของป่าน 1 บวช  2 เป็นหมอแผนโบราณ  ท่องพุท-โธไปด้วย พ่อนวดหลังกับก้นกบ"

"แม่ชีเล็กมาเยี่ยม ดูสมุดบันทึก คุยกันเรื่องอาหารของจิต คือ ความสุข และอีกหลายเรื่อง แม่ชีลูบหัว มือ แขน ให้ หลับ ตื่น พ่อเช็ดตัวให้ เช็ดน้ำอุ่น ฟังขลุ่ยธิเบต  5 โมง 20 นาทีแล้ว แม่ยังไม่มา พ่อเตรียมทำกับข้าว พ่อไปเอาถ่านมา อ่านหนังสือ พ่อมา ฉี่(พ่อต้องอุ้มไปห้องน้ำ) อ่านหนังสือต่อ กินยาญี่ปุ่น อ่านหนังสือ (กินอาหาร กินยา) เข้ามาข้างใน(ห้อง) แม่มาพอดี (ตรวจอาหาร  กินอาหาร")

"กินยาธิเบต เท้าบวมคงเพราะกินไข่+ฟักทอง แม่กดลมปราณให้ พ่อนวดเท้า+มือให้ ท่องพุท-โธไปด้วย  พ่อพูดเรื่องหมอสามคน

หลวงพ่อครรชิต ศาสตร์ด้านธรรมะ+จิตใจ
หมอโซนัม ศาสตร์ด้านยา
หมอเขียว ศาสตร์ด้านอาหาร

เราก็เปิดร่างกายให้หมอเทวดามารักษา+อุทิศบุญให้หมอเทวดา+อโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร ท่องพุท-โธ ฉี่ ถ่ายเยอะ ตอนตี 2 พ่อลูบหัว ท่องพุท-โธ นอนหลับสบายดี ฝนตกนิดหน่อย"

เดือนนี้ฝนตกเกือบทุกวัน ทุกๆเช้าลูกจะเขียนว่า มีหมอกลอยขึ้นมาจากหุบเขา ฟังเสียงสายน้ำกระทบแก่งหิน มีความสดชื่นเบิกบาน

ความสดชื่อของลูกยิ่งมากขึ้น และลูกยังรู้สึกถึงความเอร็ดอร่อยของอาหาร แต่บางครั้งยังมีความหิวอย่างรุนแรง

20/6/51

ตื่น 06.10 น. ลุกได้เอง พ่อแม่ทำกับข้าว มีหมอกลอยขึ้นมา ตาบวมนิดหน่อย ออกมาด้านนอก (กินอาหาร ตรวจข้าวสวยกินไม่ได้)

วันนี้กินเยอะอาหารอร่อย ล้างมือ แปรงฟัน เช็ดหน้า มือ พ่อกับแม่กินแกงเห็ด+หน่อไม้ (ในบันทึก ลูกชมว่าพ่อทำอาหารอร่อย)

กิจกรรมซ้ำเดิมที่ลูกทำในแต่ละวันคือ ดู CD อ่านหนังสือธรรมะ สลับอ่านละคร ในบันทึกที่ยังไม่ได้เขียนเรียงเวลาไว้ชัดเจน มีแต่กิจกรรมการกินยา อาหาร ฉี่ถ่าย และอ่านหนังสือ ดู CD ส่วนเรื่องแทรกที่มี คือเรื่องลุงยุทธและรายชื่อคนมาเยี่ยม ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนพ่อและพี่น้องชาวบ้านเครือข่ายอินแปง

29/6/51

นอนสมาธิ 05.05 น. ถึง 05.30น. (เปิดร่างกาย+อุทิศบุญให้หมอเทวดา ท่องพุท-โธไปด้วย) นอนต่อ จนถึง 06.30 น. ด้านนอกยังมืด ฝนกำลังตก ว่าจะออกไปข้างนอก แต่ลูกป้าพร คือ พี่แบ้งค์ยังนอนที่นอนอยู่ ปุ้ยก็ตื่นแล้ว เมื่อคืนฝันว่า "เดินได้  แล้วเอาลำไยมากิน แม่ยังทำทอดปลาดุก ส้มตำ คั่วไข่ อาหารมากมาย เดินได้คล่องมากเลย"

4/7/51

อาตุ๊กถ่ายรูปไปให้ลุงยุทธดู ยิ้มให้ ถ่ายท้องกับหลังด้วย .......ต้องเริ่มกินฉี่ตัวเอง  กินยาธิเบต น้ำอุ่น ตอน 15.40 น. มังคุดก็เริ่มหมดฤดูแล้ว หวังว่าพ่อคงหาซื้อได้ มังคุดหมดไม่รู้จะกินอะไร คงจะเป็นหมากเม่า พ่อคงแบกของหนักขึ้นมากับปุ้ย แต่ก็นัดเวลาไว้กับน้านี ว่าจะลงไปช่วยแบกของขึ้นมา คงมาค่ำหน่อยเพราะปุ้ยเลิกเรียน 5 โมงครึ่ง ตอนเย็นต้องกินอาหารแบบแม็คโครไปโอติก ข้าวคูดกับงามั้ง ไม่รู้จะเป็นยังไง น้านีต้องอยู้หน้าเตาตลอด ขนาดตุ๋นข้าวใช้เวลา 2 ชั่วโมง คั่วงาก็ต้องคนต้องเฝ้าอยู่ตลอด ส่วนมากอยากให้กินเครื่องเทศ พวกตะไคร้คั่วกินแล้วตดเยอะมาก เขาบอกว่าดีแล้วช่วยขับลม อาบน้ำก็อาบน้ำต้มตะไคร้ กลิ่นหอมสดชื่นดีเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าลุงยุทธจะไปอยู่ถ้ำพระฤาษีที่บ้านบัวตอนไหน ป้าอ้วนก็คิดหนักผอมลง ลูกๆก็อยู่คนละจังหวัด ต้องเรียนหนังสือ น่าสงสาร แต่ว่าก็มีคนให้กำลังใจลุงยุทธเยอะมาก ไม่ว่าจะด้านอาหารทุกคนเอาใจใส่ลุงยุทธเป็นอย่างดี หมออัลซูมา หมอจากญี่ปุ่น มาตรวจร่างกายให้ลุงยุทธ แล้วบอกว่าให้ลูกมาอยู่ด้วยสัก 6 เดือนไม่ต้องเรียน มาให้กำลังใจ ดูแลกันได้ไหม ลุงยุทธถึงกับน้ำตานอง คงสงสารลูก อยากให้ลูกได้เรียน ไม่อยากให้ลูกลำบาก แต่ลุงยุทธเดินได้ เราต้องพยายามเดินให้ได้ ภายใน 2 เดือนนับจากอยู่ที่นี่ แต่นี่ใกล้จะ 1 เดือนแล้ว วันที่ 6 ก็จะครบหนึ่งเดือน ยังเดินไม่ได้เลย หลวงพ่อจะมาวันที่ 6 ไม่รู้จะเล่าเรื่อง ท่านมิลาเรปะให้ฟังยังๆไง

อ่านหนังสือ "ลมหายใจแห่งขุนเขา" รออาบน้ำ ฉี่ใสกว่าตอนเช้า อาตุ๊กกำลังทำกับข้าว กระปุก(หมาของป่าน)ไปไหนก็ไม่รู้ เพราะวันนี้ไม่ได้ผูกไว้ ส่วนน้านี น้าปุ่น ไปไหนก็ไม่รู้ อาบน้ำต้มใบมะขาม+ตะไคร้+ใบมะกรูด สดชื่นดี เปลี่ยนเสื้อผ้า หัวเข่าเริ่มอุ่น อาการดีขึ้นตั้งแต่เปลี่ยนอาหาร อาปุ่นหุงข้าวเหนียว คงอดกินข้าวเหนียวอีกนานเลย แต่ถ้าได้กินจะพยายามเคี้ยวให้นานที่สุด แม่ล้างถ้วยชาม อาตุ๊ก อาปุ่น คงกลับพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าน้านีจะกลับด้วยหรือเปล่า วันนี้ไม่รู้จะได้กินไข่ต้มหรือเปล่า แต่คงได้กิน

ตอนนี้ต้องควบคุมอาหารการกินมากขึ้น น้านีก็ได้เรียนรู้วิธีทำอาหารสุขภาพมากขึ้น บางทีน้านีก็อาจจะกลับไปทำให้พี่แจนกินบ้าง เพาะพี่แจนไม่ค่อยได้กินอาหารสุขภาพ เพราะต้องกินที่โรงเรียน ยิ่งแย่กว่าเราเสียอีก (กระปุกก็วิ่งไปวิ่งมา เพราะปล่อยเชือกแล้ว) น้านี อาปุ่น อาตุ๊ก ช่วยกันยกแคร่มาตั้งแต่เที่ยง เอามาตากถ้วยชาม ทำเป็นที่หั่นผัก วางนั่นวางนี่  กินยาญี่ปุ่น น้านีขูดชอล์กตามขาแคร่ไม่ให้มดไปตอมอาหาร ต้มไข่เสร็จพอดี อยากกินไข่แดงบ้าง แต่ไม่เป็นไร กินไข่ขาวใส่ซอสก็อร่อยเหมือนกัน

ฉี่ อาตุ๊กเตือนแม่ว่าอย่าลืมเก็บฉี่ไว้ตรวจ อาตุ๊ก อาปุ่น ตรวจฉี่ ให้กินได้ แต่ต้องเจือจางกับน้ำ กินฉี่ แม่ซักผ้า น้านีกำลังปิ้งมะเขือเทศกับพริก อาปุ่นนึ่งผักที่หั่นไว้ อาตุ๊กลงไปรอถ่ายรูปพ่อกับปุ้ยที่แบกของขึ้นมา

6 โมงกว่าแล้ว แต่ยังสว่างอยู่เลย อากาศเย็นสบาย แต่เปิดพัดลมไล่ยุง สุดท้ายฝนก็ไม่ตก มีแต่เสียงฟ้าร้อง น้านีตำแจ่วไว้สำหรับผู้ใหญ่กิน เย็นนี้มีไข่ต้มหรือเปล่าไม่รู้ ที่ว่าไว้คงไม่ใช่ไข่ น่าจะเป็นอย่างอื่น แต่อาตุ๊กก็บอกให้ต้ม

อ่าน "ลมหายใจแห่งขุนเขาแชงกรี-ลา ลีเจียง-ยาดิง" ต่อ นอนลงเอง ฉี่ถ่าย ตอน 18.31 น. ถ่ายเหลืองปกติ น้านีทักทายกับกระปุกเหมือนพูดกับคนเลย  ยุงเริ่มมาอีกแล้ว ดู CD การ์ตูนธรรมะ เริ่มหิวขึ้นมา ณ บัดนี้ อาตุ๊กขึ้นมา รอไม่ไหวแล้ว อาปุ่น อาตุ๊ก ตรวจอาหาร กิน............พ่อกับปุ้ยมาถึง เหนื่อยกันใหญ่เลย ซื้อ CD หนังสือมาด้วย ฝนตก อาตุ๊ก พ่อ อาปุ่น แม่กินข้าว  อ่านหนังสือ "ธิเบตหลั่งเลือดบนหลังคาโลก" อยากกินกล้วยกับข้าวเหนียว ก็กินไม่ได้ เลยประชดไม่พูดกับใคร

5/7/51

อ่านหนังสือ "ธิเบตหลั่งเลือดบนหลังคาโลก" อ่านแล้วสงสารธิเบต แต่เขาก็สู้ "เป็นกำลังใจให้เด้อ" ต้องไปธิเบตให้ได้

ฉี่ ถ่าย ตอน 06.32 น. แม่เก็บฉี่เอาไว้ เหลือมังคุดอยู่แค่ 3 ลูก แต่ไม่รู้ว่าจะกินได้หรือเปล่า เพราะมีแต่ลูกแข็งๆ แม่เปิดเพลงธรรมะฟัง ปุ้ยยังไม่ตื่นเลย วันนี้ไม่รู้ว่าจะได้อาบน้ำตอนเช้าหรือเล่า แต่อยากอาบเพราะอาบแล้วสบายตัว สดชื่นดี แม่อุ้มออกมาด้านนอก อากาศดีมาก เย็นสบาย มีหมอกลอยขึ้นมา น้านี อาปุ่น ช่วยกันหั่นผักเตรียมนึ่ง

อ่าน "ธิเบตหลั่งเลือดบนหลังคาโลก" ต่อ ท้องยุบลงกว่าเมื่อวาน (......ตรวจอาหาร....กินอาหาร......) พยายามลดงาลง เพราะกินแล้วหน้าบวม แม่นวดน้ำมันให้ นอนแต่ได้ยินทุกอย่าง อาปุ่น อาตุ๊ก พ่อ แม่ น้านี ปุ้ย กินข้าว

นอนไม่หลับเลย ช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี อาหารไม่ถูกปาก แต่มีประโยชน์ต้องพยายามกิน ก็กินเท่าที่กินได้ อยากกินข้าวเหนียวเหมือนกับคนอื่นบ้าง ทั้งๆที่เคยกินได้ น่าจะให้กิน เห็นใจกันบ้างสิ ก็ลุงยุทธโตแล้ว ลุงยุทธก็อดกินได้น่ะสิ นี่เรายังเด็กอยู่ ก็อยากจะกินเหมือนเด็กอื่นๆบ้าง ฟ้า ดิน ช่วยเห็นใจเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถิด ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงอีกสักครั้ง แล้วเด็กน้อยคนนี้จะปฏิบัติตนเป็นคนดี ช่วยรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้โดยการบวชชี และศึกษาการแพทย์แผนธิเบต เอาไว้รักษาคนที่ยากจนและคนอื่นๆที่เจ็บไข้ได้ป่วย ขอให้คำขอของเด็กน้อนคนนี้ เป็นจริงด้วยเถิด

ฉี่ ถ่าย ดีที่พ่อไม่เก็บฉี่ไว้ จะได้ไม่ต้องกินฉี่
พ่อแม่ตรวจร่างกาย ตรวจอาหาร ตรวจเม็ดบัวให้ กินได้ แต่ไม่กิน น้อยใจ

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…