Skip to main content

ประมาณตีสาม เราค่อยๆไต่ขึ้นสู่เขตภูเขาสูง ฉันนึกเดาเอาว่าที่นี่น่าจะเป็นเขตรัฐสลังงอร์ เพราะว่าเผอิญสายตาปะทะกับป้ายที่เขียนว่า เกนติ้ง ไฮแลนด์ มีลูกศรชี้ไปทางซ้ายมือ แต่รถยังมุ่งหน้าตรงไป กระทั่งฉันเห็นเมืองเล็กๆมีไฟฟ้าสว่างไสว สาดจับที่รูปปั้นขององค์พระศิวะสีทองอร่ามความสูงร่วมร้อยเมตร ยืนตระหง่านตรงปากทางขึ้นถ้ำซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่น้อยไปกว่ากัน ฉันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นถ้ำบาตู ฮินดูสถานที่สำคัญของคนมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และถัดมาอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง มีป้ายเขียนไว้ว่า พิพิธภัณฑ์โอรัง อัสลี ฉันจึงมั่นใจว่าตอนนี้เรากำลังปีนอยู่บนสันเขาสูงที่ทอดตัวยาวกั้นแผ่นดินมาเลเซียออกเป็นตะวันออกและตะวันตก และเราย่างเข้าสู่เขตรัฐสลังงอร์แล้วจริงๆ


 

ถนนกลายเป็นสองเลนเล็กๆ ที่คดเคี้ยววกวน ความเร็วรถไม่น่าจะมากนักแต่การพุ่งลงจากภูเขาสูงและการแซงแบบกระชั้นชิดหลายครั้งทำเอาฉันลุ้นลืมหายใจ ลืมง่วงลืมเพลียอย่างไม่ทันรู้ตัว คิดว่าถนนในมาเลเซียมีมาตรฐานความปลอดภัยและรถราก็ไม่มากไม่มายจนเกินไปนัก อัตราการเกิดอุบัติเหตุคงไม่เยอะหรอกนา

 

ตีห้ากว่าๆ เรามาถึงเมืองจารันตุด เพราะคนขับรถตะโกนบอก ขณะนั้นเหลือผู้โดยสารเพียงสี่คน สองคนที่ลงจากรถคือฉันและปิ๋น อีกสองคนยังนั่งอยู่ นาทีนั้นฉันจึงฉลาดขึ้นบ้าง เพราะหนึ่งในนั้นคือหนุ่มน้อยคนช่างรัก ที่บอกว่าบ้านเขาอยู่กัวลา ทาฮัน นั้นแสดงว่ารถน่าจะไปต่อยังเมืองนั้น และเป็นโอกาสที่จะเข้าถึงป่าได้ง่ายที่สุด แต่ฉันก็ไม่ได้พยายามจะหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะที่มีอยู่ในมือก็น่าจะนำพาให้ไปถึงป่าได้ และเป็นเส้นทางที่ฉันชอบเสียด้วย นั่นคือการเดินทางด้วยเรือ

 

การเชื่อมั่นในข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต และการเดินทางแบบปุบปับไม่ได้วางแผน ทำให้ฉันไม่ได้หยิบเอาหนังสือคู่มือการเดินทางฉบับโลนลี่แพลเน็ตมาด้วย จึงต้องค่อยๆงมทางอย่างทุลักทุเล และเป็นบทเรียนให้จดจำไปใช้ในอนาคตว่า การเดินทางด้วยตัวเองอย่าลืมไก๊ด์บุคกับแผนที่ฉบับมาตรฐานเป็นเด็ดขาด

 

รถเมล์คันนั้นจากไปแล้ว ที่ท่ารถมีแค่เราสองคนเท่านั้น ฉันหันไปมองรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะว่าที่นี่ไม่มีอาคารสูงใหญ่ มีแค่เรือนแถวชั้นเดียวที่สร้างง่ายๆ เหมือนร้านขายของเล็กๆน้อยข้างท่ารถที่บ้านเรา ฉากหลังที่เป็นภูเขาลูกเล็กๆทอดตัวยาวทางทิศตะวันตก มีม่านหมอกห่มคลุมบางๆ ชวนให้นึกถึงเมืองลาวที่เรียบง่าย ในนาทีนั้นฉันยิ่งสร้างภาพอันยิ่งใหญ่ของผืนป่ากว้างแห่งนั้นว่า มันจะต้องเป็นดงดิบหนาทึบร้างไร้ผู้คนสัญจรอย่างแน่นอน เพราะที่นี่ยังเป็นเมืองเล็กขนาดนี้ แล้วในป่าจะเงียบเหงาขนาดไหน

 

ฝันหวานค่อยๆละลายหายไป เมื่อเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ขณะที่ฉันนอนเอนกพิงกระเป๋าเดินทางบนมายาวในอาคารเล็กๆของท่ารถ มีผู้หญิงมาเลเซียเชื้อสายจีนคนหนึ่งเดินมาถามว่า จะไปป่าทามัน เนการ่าใช่ไหม ฉันบอกว่าใช่ เธอเสนอให้เหมารถแท๊กซี่ของเธอ คิดราคาไม่แพง ฉันงงเล็กน้อย ถามว่าที่นั่นมีถนนเข้าไปถึงแล้วเหรอ เธอบอกว่าใช่ ฉันบอกว่าฉันอยากเดินทางเข้าไปทางแม่น้ำมากกว่า เธอจึงเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นก็เหมาไปที่ท่าเรือก็ได้นี่คิดเงินแค่ 30 เหรียญเท่านั้น ฉันบอกเธอว่า ฉันยังมีเวลารอรถเมล์ท้องถิ่นอีกนาน เพราะเรือเที่ยวแรกออกเวลา 10 โมงเช้า รถเมล์เที่ยวแรกที่จะไปเมืองเตมบลิง ออกจากที่นี่ 8.30 . ฉันมีเวลาเหลือเฟือที่จะนั่งดูชีวิตผู้คนอยู่แถวนี้

 

เธอคนนั้นจากไปแล้ว มีผู้ชายหน้าตาแบบคนอินเดียเดินเข้ามา เขาเสนอว่าให้ไปป่าทางถนนด้วยรถตู้ของเขา คิดค่ารถคนละ 70 เหรียญ ฉันบอกเขาว่าขอบคุณ ฉันอยากไปทางเรือ ในช่วงเวลานั้นมีสาวๆฝรั่งผมทองสามคนแบกเป้ใบโตมาขึ้นรถตู้ ท่าทางพวกเธอไม่ลังเลที่จะใช้ถนนเข้าสู่ป่า แต่ฉันกับปิ๋นยืนยันว่าต้องการผจญภัยทางน้ำ

 

รถเมล์ของเรามาถึงที่ท่ารถตรงเวลา เมื่อเราขึ้นไปนั่งบนรถ สิ่งที่พบเห็นทั้งหมดเรียกได้ว่า เหลือเชื่อ เกินคาด เพราะรถคันเก่าๆคันนี้ มีคนขับที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ความเก่าและรกเขรอะขระจนแทบนั่งไม่ลง เบาะสีดำเปียกชื้นไปด้วยราดำ เศษขยะพลาสติกชิ้นเล็กชิ้นน้อยซุกอยู่ทุกซอกของรถ ที่เหลือเชื่อกว่านั้นคือ บนรถมีแค่เราสองคน จ่ายค่ารถไปคนละ 1.50 เหรียญ (ราวๆ 15 บาท) ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจึงถึงท่าเรือเตมบลิง แต่รถคันนั้นยังวิ่งต่อไปยังในเมืองเตมบลิง ที่อยู่ห่างจากท่าเรือราวๆ 5 กิโลเมตร

 

ความฉลาดค่อยๆปรากฏตัว มาเย้ยฉันทีละนิด นับตั้งแต่รถแล่นออกจากท่ารถเพียงเล็กน้อย ฉันเห็นเมืองจารันตุดตัวจริง หาใช่เมืองเล็กๆไกลปืนเที่ยงไม่ แต่เป็นเมืองขนาดกลางที่มีร้านรวงพอสมควร และที่มีมากหนาตาคือบริษัททัวร์ป่า ที่มีป้ายโฆษณาคึกคัก

 

ความจริงยิ่งปรากฏชัดเมื่อเรามาถึงท่าเรือ ที่นั่นมีหนุ่มสาวชาวฝรั่งร่วมร้อยคนกำลังรอเรืออยู่ก่อนหน้าแล้ว พวกเขามากับบริษัททัวร์ ที่ขายบริการแบบคอนแท็คทัวร์โดยที่ผู้ซื้อบริการไม่ต้องโง่งมโข่งในเรื่องใดๆทั้งสิ้น

 

เขาเหล่านั้นน่าจะเดินทางมาจากเมืองเคแอล เมื่อคืนนี้

 

 


ท่ารถ เมืองจารันตุด

 

 


ร้านอาหาร


 


ในเมืองจารันตุด


 


ที่ท่าเรือเตมบลิง

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…