วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช. ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลยิงลักษณ์ การยึดอำนาจในวันนั้น นำมาซึ่งการกวาดล้าง ข่มขู่ ทำลายผู้ที่เห็นต่างกับฝ่ายเผด็จการ หลายคนถูกจับกุมคุมขัง หลายฝ่ายต้องหนีตาย ออกนอกประเทศ เพื่อให้พ้นภัยจากอำนาจเผด็จการทหาร และตัวผมเอง ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่นอกจากจะโดนฝ่ายเผด็จการคุมขังด้วย ม.112 มายาวนานเกินกว่า 3 ปี และเพิ่งพ้นโทษออกมาได้ไม่ถึงปี ผมยังถูกคณะยึดอำนาจ คสช. เรียกเข้าไปรายงานตัวทั้งๆ ที่ไม่มีคดีความอะไร จากเหตุการณ์นี้เอง ที่ทำให้ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ที่จะหนีให้พ้นจากภัยเผด็จการ ด้วยการหนีออกนอกประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายไม่ต่างกับเพื่อนๆ อีกหลายคน นั่นก็คือการขอลี้ภัย ไปยังประเทศที่มีความเป็นเสรี ประเทศใด ประเทศหนึ่ง
จากวันที่ถูกคำสั่งให้ไป “รายงานตัว” พวกเราหลายคน ใช้วิธีกบดานอยู่เงียบๆ ในที่ลับของเรา เพื่อหลบหนีการถูกไล่ล่า การติดตามทุกรูปแบบของฝ่ายทหาร และตำรวจ ที่ระดมกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อจะตามล่าพวกเรา มันเป็นช่วงเวลาที่ที่อัตรายมากๆ คือถ้าพลาด เราอาจจะหายไปเฉยๆ โดยไม่มีใครรู้เลยก็ได้
เราใช้เวลาประมาณเกือบ 4 สัปดาห์ ในการหาทางหนีออกนอกประเทศได้สำเร็จ และ “การรวมตัวกัน” ของกลุ่มผู้หนีภัยเผด็จการที่รอดมาได้ จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก พวกเราปรึกษาหารือกัน ถึงกระบวนการต่างๆ และขั้นตอนในการดำเนินการ เพื่อเตรียมความพร้อมในการลี้ภัยไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งในเวลานั้น เราได้รับแจ้งจากมิตรสหาย ที่อยู่ในประเทศปลายทางอีกประเทศ ที่เป็นที่ตั้งของหน่วยงานที่จะช่วยทำเรื่องในการลี้ภัยไปประเทศที่ 3 ว่า “ไม่สามารถรองรับพวกเราได้ทั้งหมด” ถ้าจะไปต้องทยอยไป
เวลานั้น คนที่ได้รับอนุญาต ให้เดินทางไปคนแรก และคนเดียวของกลุ่มเรานั่นคือ อั้ม เนโกะ ซึ่งพวกเราที่เหลืออยู่ ก็ยินดีกับอั้ม และเฝ้ารอข่าวดี หลังจากอั้มได้ออกเดินทางไป
ในระหว่างเฝ้ารอขั้นตอน การขอลี้ภัยไปประเทศที่ 3 ของอั้ม ด้วยความอึดอัดต่อการกดดันของเผด็จการ ที่มีต่อพวกเราตลอดระยะเวลาหลังมีการยึดอำนาจ และด้วยความฮึกเหิม ที่ต้องการจะตอบโต้เผด็จการทหาร พวกเราจึงได้ตัดสินใจ ตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวเล็กๆ ขึ้นมา เพื่อต้องการแสดงออกทางการเมืองอย่างเสรี ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของกลุ่ม “ขบวนการไทยเสรี” ที่พวกเรา ตั้งขึ้นเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ให้กับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ใครจะไปรู้ว่า มันจะมีการพัฒนาไปสู่กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองของผู้ลี้ภัยอีกหลายกลุ่ม ที่มีความแตกต่างกันในเป้าหมาย และแนวทางการต่อสู้
และใครจะไปรู้ว่า จุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้เอง จะทำให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเราหลายคนในกลุ่มนี้ ต้องมีอันจากไปโดยไม่มีวันหวนกลับมา
ผู้สูญหายรายแรก คือ “เบียร” อิทธิพล สุขแป้น หรือที่เรารู้จักกันในนาม “ดีเจ ซุนโฮ” การสูญหายไปของดีเจซุนโฮ เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดในสายตาของพวกเราที่อยู่ที่นี่ เพราะตอนที่เขาถูกอุ้มหายไปนั้น ทุกคนรู้ว่าเขาแทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง และตั้งหน้าตั้งตาทำธุรกิจ “ปลาร้ากระปุก” ของตัวเองที่มีแนวโน้มจะไปได้ดีมาก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ภาพของซุนโฮ ที่เป็นนักจัดรายการวิทยุปากกล้า แทบไม่เหลือภาพเก่านั้น เขากลายเป็นพ่อค้า ที่ตระเวน ขี่รถมอเตอร์ไซต์ ไปตามตลาดต่างๆ เพื่อขายของ จำได้ว่า ครั้งสุดท้่ายที่ผมได้เจอเขา คือที่ร้านอาหารของพี่สาวที่หนีภัยมาด้วยกันคนหนึ่ง ซุนโฮแต่งตัวในชุดใส่เสื้อกันแดดมิดชิด พร้อมหมวกกันน็อค หลังรถมอเตอร์ไซค์ มีตะกร้าใส่ของ (ตะกร้า ที่ใช้สายลัดกับเบาะมอเตอร์ไซค์) เขาเป็นพ่อค้าเต็มตัวแล้ว เขายุติบทบาทแล้ว เขาไม่เป็นอันตรายกับใครแล้ว แต่เผด็จการก็ยังไม่เอาเขาเอาไว้
และแล้ว เช้าวันพุธ ที่ 22 มิถุนายน 2016 ก็มีรายงานข่าวว่า พบรถมอเตอร์ไซค์ของซุนโฮ อยู่ในสภาพล้มอยู่ข้างทาง ไม่ไกลจากบ้านพักของเขาเท่าไรนัก พร้อมกับรองเท้าผ้าใบของเขา 1 ข้างที่ตกอยู่บริเวณใกล้เคียงกับรถมอเตอร์ไซค์ของเขา
ไม่มีรายงานว่าพบเขา หรือร่างของเขาอีกเลย นับแต่วันนั้น !!
เขาหายไป 1 ปี 11 เดือน 10 วัน หลังการเคลื่อนไหวในนาม “ผู้ลี้ภัยในต่างแดน”
การสูญหายของเพื่อนคนแรก ทำให้พวกเราที่นี่ อยู่กันอย่างหวาดระแวงมากขึ้น เพราะทีที่เราอยู่ มันห่างกันแค่แม่น้ำกั้น ฝ่ายเผด็จการจะเข้ามาทำร้ายเราเมื่อไหร่ก็ได้ และเป็นที่แน่ชัด จากกรณีการอุ้มดีเจซุนโฮ นั่นหมายถึงพวกเขาพร้อม ที่จะกำจัดคนที่เห็นต่างได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจากเดิมที่พวกเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เราก็เปลี่ยนเป็นแยกย้ายกันไปอยู่เป็นกลุ่มย่อย ไม่อยู่รวมเหมือนแต่ก่อน และเน้นเลือกที่อยู่ ที่ใกล้กับแหล่งชุมชน เพื่อให้ปลอดภัยต่อผู้คิดร้าย โดยใช้ชุมชนใหญ่ เป็นเครื่องป้องกัน
แต่ถึงจะระมัดระวังตัวยังไง เผด็จการก็ไม่ได้ปราณีเรา เพราะหลังจากซุนโฮ ถูกอุ้มหายไปได้ประมาณ 1 ปี ข่าวการถูกอุ้มของ “โกตี๋” (สหายหมาน้อย) หรือ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ก็ทำให้เราใจคอไม่ดีกันอีกครั้ง เพราะโกตี๋ ถูกอุ้มที่บ้านพัก ใจกลางชุมชนเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2560 กรณีโกตี๋นี้ เรียกได้ว่าอุกอาจมาก เพราะเป็นการอุ้มโดยมีพยานรู้เห็นหลายคน รวมทั้งคนในบริเวณบ้านโกตี๋ และภรรยา รวมทั้งคนสนิทของโกตี๋ ที่ไม่ได้ถูกอุ้มไปด้วยก็อยู่ในเหตุการณ์
จริงอยู่ แม้เราจะไม่ได้อยู่ร่วมกัน ภายใต้ชายคาบ้านเดียวกันแล้วในเวลานั้น แต่มันปฏิเสธไม่ได้ว่า เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน เมื่อสมาชิกคนหนึ่ง ถูกอุ้มไปอย่างง่ายดายเป็นคนที่ 2 เชื่อได้เลยว่า เราทุกคนจะต้องรู้สึกแบบเดียวกันคือ “ภัยจากอำนาจเผด็จการ มันเริ่มใกล้ตัวเข้ามาทุกที” ในกรณีของโกตี๋นี้ เราเริ่มสันนิษฐานกันว่า ปฏิบัติการน่าจะได้รับความร่วมมือ รู้เห็นเป็นใจ จากคนท้องถิ่นด้วย ยิ่งข้อสงสัยเรื่องนี้ มีมากเท่าไหร่ เราที่อยู่ตรงนี้.. ก็รู้สึกยิ่งไม่ปลอดภัยท่านั้น
เพราะคำถามคือ.. “แล้วเราจะไว้ใจใครได้อีก”
จากรายที่ 1 สู่รายที่ 2 ที่ถูกอุ้มหาย และเมื่อเผด็จการ ยังคงเดินหน้าเด็ดหัวพวกเราอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ ม.112 แล้วใครละ จะเป็นรายต่อไป? สถานการณ์หลังโกตี๋ถูกอุ้มหายไป หลายคนบอกว่า กลุ่มที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ที่นี่ ก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง และหนักหน่วงขึ้น เหมือนการถูกอุ้มหายไปของเพื่อนทั้งสองคน ไม่มีผลอะไร กับการต่อสู้
อันนี้ส่วนตัวผมคิดว่า มีส่วนจริงอยู่ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะเราก็รู้มาว่า แต่ละกลุ่ม มีการพยายามที่จะขยับไปประเทศที่ 3 กันบ้างแล้ว และบางกลุ่ม การเคลื่อนไหวก็มีทีท่าที่แผ่วลง อย่างกลุ่มแดงสยาม ของ อ. สุรชัย แซ่ด่าน ที่ภายหลังกรณีโกตี๋แล้ว คลิปต่างๆ ของ อ. สุรชัย ก็เริ่มปรากฎให้เห็นน้อยลง
ความเห็นส่วนตัวคิดว่า ที่คลิปของ อ. สุรชัย ลดจำนวนลง อาจเป็นเพราะแกมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และอายุที่มากขึ้น จนไม่สามารถที่จะออกคลิปได้บ่อยเหมือนแต่ก่อน อีกเหตุผลหนึ่งก็อาจเป็นเพราะ แนวทางการต่อสู้ของ อ. สุรชัย อาจไม่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ ที่เป็นปัญญาชนที่อายุยังน้อยๆ อยู่ ดังนั้น เราจึงไม่ค่อยเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มแดงสยาม บ่อยนักในช่วงหลังๆ
แต่แล้ว เผด็จการ ก็ไม่ได้ปราณีอีกเช่นเคย เมื่อมีข่าวว่า เช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2561 อ. สุรชัย และลูกน้องอีก 2 คนคือ กาสะลอง และ ภูชนะ ทั้งสามคน ได้หายตัวไปจากบ้านพักพร้อมๆ กัน และหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวว่า พบศพ 3 ศพ ลอยมาตามแม่น้ำโขง ทั้ง 3 ศพ ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ลำคอถูกรัดด้วยเชือกป่านขนาดใหญ่ ถูกของแข็งทุบหน้าเละ คว้านท้องจนไม่เหลือเครื่องใน ยัดด้วยเสาปูนยาว 1 เมตร ใส่กุญแจมือไขว้ด้านหน้า ห่อด้วยกระสอบป่านเย็บติด 2-3 กระสอบ ห่อหุ้มด้วยตาข่าย
และในเวลาต่อมา ทราบผลชันสูตร 2 ใน 3 ศพ ยืนยันชัดเจนว่าเป็นศพของ กาสะลอง และวันชนะ ส่วนศพแรกที่มีคนพบเห็น ข่าวว่าศพนั้นไม่สามารถติดตามได้ แต่ถึงจะติดตามไม่ได้ เมื่อ 2 ใน 3 บ่งชี้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิท อ. สุรชัย แล้ว อีก 1 ศพที่มีคนเจอศพแรก ก็มีความเป็นไปได้ ว่าจะเป็นของ อ. สุรชัย อย่างแน่นอน
จากกรณีโกตี๋ ถึงกรณี อ. สุรชัย เว้นระยะห่างประมาณ 1 ปี 4 เดือน
เมื่อเพื่อนๆ ค่อยๆ ถูกอุ้มหายไปทีละคน ทุกคนตรงนี้จึงรู้ชะตากรรมตัวเองบ้างแล้ว ว่าอาจต้องเจอแบบเดียวกับเพื่อนๆ ที่ถูกอุ้มหายก่อนหน้านี้ กลุ่มเคลื่อนไหวที่ยังเหลืออยู่กลุ่มเดียว คือกลุ่มสหพันธรัฐไทย ของลุงสนามหลวง ถึงตอนนี้ก็ประกาศยุติการออกอากาศชั่วคราว เราทุกคนอยู่ในสภาพต้องเก็บตัว และเซฟตัวเองให้มากที่สุด แต่การข่าวที่เข้ามาหาพวกเรา ก็เหมือนจะเป็นในแนวทางเดียวกันคือ “พวกเผด็จการทหารต้องการเก็บพวกเราทุกคน ที่มีส่วนในการเคลื่อนไหวต่อต้านเขา” โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยที่เกี่ยวข้องกับคดี 112 และพวกเนรคุณพระเจ้าแผ่นดิน
และในช่วงที่ทุกอย่างเหมือน “ไม่มีการเคลื่อนไหว” แต่แล้วเราก็ได้ข่าวว่า ลุงสนามหลวง และคนสนิททั้ง 2 คน คือไอซ์ กับสหายเลือด ถูกทางการเวียดนาม ส่งกลับไทย ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 นั่นแสดงว่า กลุ่มลุงสนามหลวง ได้มีความพยายามขยับออกจากที่เดิมจริง แต่พลาดตรงที่ใช้พาสปอร์ตปลอม จึงทำให้ถูกจับ และถูกส่งกลับประเทศไทย หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ข่าวอะไรอีกเลย แต่ข่าวที่ว่านี้ ก็ถูกปฏิเสธจากเผด็จการไทย ว่าไม่มีการส่งตัวทั้ง 3 คนกลับมายังไทย แต่เป็นที่รู้กันว่า เขาทั้ง 3 คน น่าจะอยู่ในการควบคุมของเผด็จการทหารไทยเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่พวกเขาจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่เท่านั้น
ถึงตอนนี้ ก็แทบไม่เหลือใครที่เคลื่อนไหวแล้ว แต่การข่มขู่ คุกคาม ก็ดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีข่าวเรื่อง “กลุ่มไฟเย็น” ถูกขู่ฆ่า ภายหลังข่าวเรื่องกลุ่มลุงสนามหลวง ถูกส่งกลับไทยไปได้ประมาณ 4 เดือน
พวกเขาถูกขู่ฆ่า ทั้งๆ ที่ยุติการเคลื่อนไหวแล้ว แต่เผด็จการก็ยังไม่ละเว้น โชคดีที่กลุ่มไฟเย็น ได้รับการช่วยเหลือให้ลี้ภัยไปประเทศฝรั่งเศสได้ทันเวลา ทุกคนในกลุ่ม จึงอยู่รอดปลอดภัยได้จนถึงทุกวันนี้
เรื่องราวการคุกคามผู้ลี้ภัย จากเผด็จการทหาร ดูเหมือนจะเบาบางลง หลังข่าวลุงสนามหลวงถูกส่งตัวกลับไทย และการได้ลี้ภัยไปประเทศฝรั่งเศส ของกลุ่มไฟเย็น แต่มันก็ใช่ว่า ทุกคนทางนี้ จะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคดี ม. 112 ที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่คน และคดีอื่นๆ ที่ยังอยู่กันตรงนี้อีกหลายสิบชีวิต เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ข้อมูลของพวกเราทุกคนทางนี้ อยู่ในมือของเผด็จการทหารแล้วทั้งหมด (ซึ่งข้อมูลนี้ แน่นอน อาจได้จากการข่าวของเผด็จการทหารเอง หรือได้จากแหล่งข่าวที่เป็นคนท้องถิ่นที่นี่ ซึ่งสามารถให้ข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ถ้ามีผลประโยชน์ตอบแทน) ดังนั้น พวกเราก็ยังคงตกอยู่ในสถานะที่เสี่ยงต่อการโดนอุ้มกันทุกคน และเราก็ยังคิดว่า ทีมอุ้มฆ่าทีมนี้ ก็ยังคงปฏิบัติงานอยู่ เพียงแต่รอจังหวะ และเวลาที่เหมาะสม ที่จะลงมือต่อเหยื่อรายต่อไปขึ้นอยู่กับว่า จะเมื่อไหร่ เท่านั้น
แต่แล้ว ประมาณกลางปีที่แล้ว (มิถุนายน 2563) ก็มีข่าวเพื่อนเราอีกคน ที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้านอีกประเทศ คือต้า “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” ที่ถูกอุ้มไปตอนกลางวันแสกๆ มีหลักฐานกล้องวงจรปิดชัดเจน และเป็นการอุ้มที่โจ่งแจ้งมากๆ ถึงตอนนี้ ระยะเวลาผ่านไปจะครบ 1 ปีแล้ว ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้
คำถามคือ.. ทำไมต้องเป็นต้า?
ส่วนตัวแล้ว ผมเคยได้เจอต้า ในงานกิจกรรมที่ไทยอยู่หลายครั้ง ต้าเป็นเด็กน่ารัก อารมณ์ดี มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ เราไม่สนิทกัน แต่ต้าอาจจะรู้จักผม ในฐานะอดีตนักโทษ ม. 112 และผมก็คิดว่าตาร์ ไม่ได้เป็นแกนนำ หรือคนที่อยู่ในระดับนำการเคลื่อนไหวอะไร ทั้งบนดิน และใต้ดิน ตอนลี้ภัยมา ต้าเคยได้มาเยี่ยมผมที่บ้านครั้งเดียว ในฐานะ Producer กับทีมงาน 1-2 คน เพื่อถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยทางการเมือง แม้หลังจากมีข่าวเรื่องต้า ถูกอุ้มไป ก็มีข้อมูลเพิ่มว่า ต้าเคยเป็นแอดมินของเพจดังอยู่ 1 เพจเท่านั้น ซึ่งเพจนั้น ก็เป็นเพจแนววิจารณ์การเมือง สังคม ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ม.112 เลย
แล้วทำไม เผด็จการ จึงต้องกำจัดเขาด้วย มีเหตุผลอะไร?
แล้วอะไร ที่อาจจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากนี้?
จากข้อมูลในปัจจุบัน ถ้านับจากกรณีแรก ที่ผู้ลี้ภัยถูกอุ้มหายอย่างง่ายดาย ในประเทศเพื่อนบ้าน จนถึงตอนนี้ รวมทั้งสิ้น 8 คน เฉลี่ยเราสูญเสียผู้ลี้ภัยทางการเมือง ในประเทศเพื่อนบ้าน ปีละ 1 เคส
- ปี 2559 – ดีเจซุนโฮ ถูกอุ้มหาย
- ปี 2560 – โกตี๋ ถูกอุ้มหาย
- ปี 2561 – อ. สุรชัย, กาสะลอง และภูชนะ ถูกฆ่าถ่วงแม่น้ำ
- ปี 2562 – ลุงสนามหลวง, ไอซ์ สหายเลือด ถูกทางการเวียดนาม ส่งกลับไทย (ปิดเคส)
- ปี 2563 – ต้า วันเฉลิม ถูกอุ้มหาย
และเราทุกคน ยังเชื่อว่า ทีมไล่ล่าผู้ลี้ภัย ยังคงอยู่ใกล้ๆ ตัวเรา ไม่ได้หยุด หรือยุติปฏิบัติการไล่ล่าแต่อย่างใด เพราะการปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก เพราะประเทศไทย ยังมีอิทธิพลทางการเมือง เหนือประเทศแถบนี้อยู่มาก ดังนั้น การเจรจา การต่อรอง เพื่อไฟเขียว ให้เข้าจัดการกลุ่มผู้ลี้ภัย ที่อยู่ในรายชื่อ จึงเป็นเรื่องง่ายดาย ซึ่งเราไม่อาจคาดคิดได้เลยว่า ใครจะเป็นรายต่อไปหลังจากนี้ !!
อย่าลืมพวกเรา “กลุ่มผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน” เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของท่านอีกกลุ่ม ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก
ถ้าย้อนเวลาได้ ถ้าในวันนั้น วันที่เราข้ามฝั่งหนีตายมาได้ และพวกเราทั้งหมด ได้รับโอกาส ให้เดินทางไปทำเรื่องขอลี้ภัยในอีกประเทศหนึ่งได้ โดยไม่ต้องติดอยู่ที่ประเทศที่ 2 นี้ เราคงไม่ต้องสูญเสียเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเราทั้ง 8 คน ความจริงที่เราได้เจอ คือผู้ที่สามารถช่วยเหลือได้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกเราอย่างแท้จริง ยังมีระบบเส้นสาย ระบบคนของใคร ยังมีอคติต่อกัน แม้จะอยู่ฝ่ายเดียวกัน ความมีอัตคตินี้เอง ที่นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างแท้จริง ถ้ามีการช่วยเหลือจริงๆ เราทุกคน คงอยู่รอด และปลอดภัย มาจนถึงปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน
“ความจริงที่เราได้เจอ คือผู้ที่สามารถช่วยเหลือได้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกเราอย่างแท้จริง ยังมีระบบเส้นสาย ระบบคนของใคร ยังมีอคติต่อกัน แม้จะอยู่ฝ่ายเดียวกัน ความมีอัตคตินี้เอง ที่นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างแท้จริง”
สำหรับกลุ่มผู้ลี้ภัยคดีอื่นๆ ที่นอกเหนือจากคดี 112 ที่เป็นเป้าสังหาร ของเผด็จการทหารแล้ว ปัจจุบัน ยังมีอีกหลายสิบคน หลายครอบครัว ที่ยังใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง อาศัยรับจ้างทั่วไป หาเช้ากินค่ำ ไปวันๆ
ยิ่งมาเจอกับปัญหา การถอนเงินช่วยเหลือ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ของผู้ที่เคยช่วยเหลือมาตั้งแต่แรก ก็ทำให้พวกเขาเวลานี้ ได้รับผลกระทบอย่างมาก ในทางตรง คือขาดเงินที่เคยได้รับในทุกเดือนไป ทำให้พวกเขาต้องหาเพิ่ม ในส่วนที่ขาดหายไปนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ในทางอ้อม คือเขาจะมีโอกาสทำรายได้เพิ่มได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขา ไร้ซึ่งสถานะใดๆ ในประเทศที่เขาลี้ภัยอยู่ เรียกง่ายๆ ได้อย่างเดียวว่าเป็นกลุ่มคนที่ “หนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย” ได้สถานเดียว
เมื่อไร้ซึ่งสถานภาพ เป็นเหมือนคนที่ไร้ตัวตนอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน แม้จะได้รับการคุ้มครอง ให้ปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ หลายคนถูกเอาเปรียบ ถูกโกง ทางธุรกิจ แต่ไม่สามารถดำเนินคดีอะไรกับใครได้ คนที่มีความรู้หน่อย ก็ไม่สามารถทำงานในบริษัท หรือองค์กรที่ถูกกฎหมายได้ เพราะเราไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนว่าเข้าเมืองมาตามกฎหมาย ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ล้วนขัดขวางความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของพวกเราทุกคน
ผมเอง ขอสารภาพว่า เคยได้รับการ้องขอ ให้ช่วยประสานงานไปยังผู้ที่เราคิดว่า สามารถช่วยบรรเทาปัญหาของพวกเราได้ โดยทำเป็นหนังสือ ชี้แจงรายละเอียดถึงปัญหาต่างๆ ที่เราได้เจอ และสิ่งที่ขอให้ช่วยเหลือ (ที่ไม่ใช่เรื่องเงิน) แต่เชื่อไหม พวกเขาพอได้รับการติดต่อจากผมแล้ว พวกเขาต่างเงียบ และไม่ตอบสนองต่อการร้องขอของเราใดๆ เลย ซึ่งช่องทางที่ผมติดต่อไปมีดังต่อไปนี้
- พรรคเพื่อไทย โดยติดต่อผ่านว่าที่ผู้สมัคร สส. ท่านหนึ่ง ที่เคยเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล แต่ปัจจุบัน ย้ายมาอยู่เพื่อไทย จริงๆ แล้วการตอบรับจากช่องทางนี้ ดูมีความหวังที่สุด เพราะมีการแนะนำให้ผมส่งเรื่องไปยังผู้ใหญ่อีก 2 ท่าน ที่ผมดูแล้วน่าเชื่อถือ แล้วก็ได้รับคำตอบมาว่า จะมีคนติดต่อมา จากวันที่ติดต่อ จนถึงวันนี้ ก็เดือนกว่าแล้ว ทุกอย่างก็เงียบ
- พรรคก้าวไกล โดยติดต่อ สส. ท่านหนึ่งที่ผมให้ความเคารพเป็นอย่างมาก เพราะเขาช่วยเหลือพวกเรา และน้องๆ นักกิจกรรม อย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย สำหรับช่องทางนี้ เมื่อผมขอความช่วยเหลือแล้ว ผมได้ยกเลิกคำขอนั้น เพราะเห็นใจ สส. ท่านนี้ ที่ยังคงต้องช่วยเหลือน้องๆ นักกิจกรรม ที่ยังถูกจับกุมคุมขังอยู่ ให้ได้รับอิสรภาพ ช่องทางนี้ ผมไม่ติดใจอะไร ถือเป็นความผิดพลาดของผมเอง
- คณะก้าวหน้า โดยติดต่อกับอดีตเลขาพรรคอนาคตใหม่ หลังส่งเรื่องให้ เขาก็เงียบ ไม่แน่ใจว่าได้อ่านหรือเปล่า
- ตัวแทนฝั่งยุโรป ที่ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือพวกเราผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง คนที่มีความใกล้ชิดกับคุณโทนี่ ซึ่งช่องทางนี้ ดูเหมือนจะมีความหวังที่สุด แต่วันนี้ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ และยังไม่รู้ว่าจะได้คำตอบเมื่อไหร่
พวกเราคงไม่มีความหมายอะไรกับพวกเขาแล้วจริงๆ พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะช่วยเหลือพวกเรา แม้แต่พรรคการเมือง ที่เราให้ความเคารพ ศรัทธา ก็ยังไม่เหลียวแลเราเลย
จากวันแรก ที่พวกเราหนีภัยข้ามมาอยู่กันที่นี่ ในบ้านเดียวกันที่มีสมาชิก 12 คน ปัจจุบันนี้ ตาย และสูญหาย 8 คน ได้ลี้ภัยไปประเทศอื่นได้ 3 คน ที่เหลือ ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ อย่างยากลำบาก
อีกไม่กี่วัน ก็จะครบ 7 ปีที่พวกเราอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ที่ที่เราต้องหลบๆ ซ่อนๆ อาศัยอยู่ด้วยความหวาดกลัว หวาดระแวงไม่มีที่สิ้นสุด เราหลายคน ไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ได้ เราเหนื่อย และสิ้นหวังกับชีวิต ที่ต้องเผชิญกับสภาพแบบนี้ จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะอำนาจเผด็จการยังคงอยู่ จึงได้แต่ต้องก้มหน้าก้มตา รับชะตากรรมต่อไป จนกว่าประเทศไทย จะกลับเข้าสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง
ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะมีวันนั้น ในชั่วชีวิตของพวกเราหรือเปล่า
อนาคตต่อจากนี้ของพวกเรา จะเป็นอย่างไร เรามิอาจทราบล่วงหน้าได้ ที่ทำได้ตอนนี้คือการฝากเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ในบันทึกนี้ เสมือนเป็นพินัยกรรมหน้าหนึ่ง หากสักวันผมเอง หรือเราที่เหลืออยู่สักคน ต้องมีอันเป็นไป ด้วยอำนาจเผด็จการ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบันทึกนี้ จะมีประโยชน์ และเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ในการต่อสู้ของประชาชนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ ต่อไปในภายหน้า
หนุ่ม เรดนนท์
22 พฤษภาคม 2021
เผยแพร่ครั้งแรก: https://noomrednon.wordpress.com/2021/05/22/7ycoup