7 ปีเผด็จการทหาร, 7 ปีแห่งการหนีตาย กับอนาคตที่ยังไร้จุดหมายของผู้ลี้ภัย
วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช.
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างทุกวันนี้ แต่เพราะเป็นคนที่ชอบจดจำเรื่องราวต่างๆ ไว้อย่างแม่นยำ และส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง ที่มีต่อสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตัวเอง จากมรสุมชีวิต ที่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ เป็นเวลา 3 ปี 3 เดือน 5 วัน มันทำให้ผม ได้สะสม ความทรงจำต่างๆ ตลอดช่วงเวลานั้น เอาไว้มากมาย ทั้งที่ยังอยู่ในสมองเวลานี้ และที่อยู่ในสมุดบันทึกไดอารี่เล่มแดง กับอีกหลายๆ เล่ม จึงทำให้ผมอยากจะเขียนเรื่องราวต่างๆ ประสบการณ์ในช่วงเวลานั้น บอกเล่าให้กับเพื่อนร่วมโลกได้รับรู้กันบ้าง ถึงแม้จะเป็นประสบการณ์ส่วนตัว จากมุมมองของตัวเอง แต่มันก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง กับคนรุ่นต่อๆ ไปในภายภาคหน้า
วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช.
ช่วงนี้ ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน ได้โพสต์เรื่องราว เกี่ยวกับ "ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์" ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่โดน คสช.
หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมี
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด้วยจั
“ถ้าผมรู้ว่าอากงจะจากไปเร็วอย่างนี้ ผมคงจะดูแลอากงให้ดีกว่านี้” ผมยังจำได้ไม่มีวันลืม เพราะคำพูดนี้ ผมได้พูดกับทนายอานนท์ นำภา และคุณปล
นับจากที่ผมได้เข้ามอบตัวต่อศาลอาญารัชดา เพื่อต้องการที่จะต่อสู้คดีตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 จนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ 11 และผมก็ได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีตามสิทธิขั้นพื้นฐานรวมแล้วก็ 6 ครั้ง และได้รับการ