Skip to main content

 

"ผมไม่เคยเสียใจเลยนะ ที่ตัดสินใจไม่ไปรายงานตัวกับ คสช." แม้หลายคนจะบอกให้คิดทบทวน แต่ผมก็ยังคงจะยืนยันเหมือนเดิม

ทันทีที่เสียงประกาศของเผด็จการทหาร คสช. ฉบับที่ 5/2557 เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2557 สิ้นสุดลง โดยสั่งให้บุคคลเข้าไปรายงานตัว 35 คน ผมก็ไม่รีรอที่จะเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น แล้วรีบออกจากที่พักที่เคยอยู่ตั้งแต่ครั้งเมื่อออกจากคุกมาในทันที

บอกตามตรงเลยว่าเวลานั้น รู้สึกตื่นเต้น ปนกลัวนิดๆ กลัวว่าจะหลบไปซ่อนตัวไม่ทัน แต่ไม่รู้ละ ขอแค่ปลอดภัยไว้ก่อน ส่วนจะทำอะไรต่อไปแล้วค่อยว่ากันอีกที ว่าแล้วก็เริ่มก้าวเท้าออกจากที่พัก โดยไม่รีรออะไร

ผมตัดการสื่อสารทุกอย่าง ทั้งโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต เรียกได้ว่า ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง นี่ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรก ที่จะต้องหลบหนี ซึ่งหนีอะไรก็ไม่รู้ โดยมีคำถามอยู่ในใจตลอดเวลาว่า "เราทำผิดอะไร" "แล้วทำไมเราต้องหนีด้วยนะ?"

ผมเฝ้ารอดูข่าวคราวต่างๆ ในเฟซบุ๊ก ก็ได้แต่ดูเฉยๆ โดยไม่กล้าโพสต์อะไร และวันหนึ่ง ก็ได้พบว่า มีเพื่อนหลายคน เข้าไปรายงานตัว แล้วก็ได้ปล่อยตัวออกมา โดยเฉพาะเพื่อนๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี ม.112 ผมเคยคิดอยู่ช่วงหนึ่งว่า บางทีผมอาจจะเลือกที่จะเข้าไปรายงานตัวกับเขาบ้างก็ได้ เพราะก็อยากจะใช้ชีวิตอยู่แบบสงบๆ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน

แต่ทางเลือกนั้น ถูกปิดสนิทไป เมื่อเพื่อนหลายคน หลังจากรายงานตัวออกมา ส่งข่าวมายังผมว่า "หนุ่มเลือกถูกแล้วละที่จะไม่ไปรายงานตัว" เพราะเพื่อนแทบจะทุกคน ถูกถามคำถามเดียวกันเกี่ยวกับตัวผม และพยายามโยงผม ให้เข้ากับทางคุณ "อเนก ซานฟราน" ที่อยู่อเมริกาให้ได้ นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการจากผม

ถึงตอนนี้ คำตอบที่ผมได้ก็คือ เผด็จการทหาร มีความพยายามจะทำให้ "ผังล้มเจ้า" ฉบับนั้น กลับมาใช้งานให้ได้อีกครั้ง !

ผมสะเทือนใจนะ เสียใจ แบบเจ็บลึกๆ ที่ผ่ายเผด็จการทหาร ยังจองล้างจองผลาญผมไม่เลิก แม้ผมจะได้รับโทษติดคุกถึง 3 ปีเศษ ในข้อหาที่แทบจะไม่มีที่ใดในโลกเขาใช้กันแล้ว เขาทำกับคนธรรมดาอย่า่งผม เพียงเพราะต้องการให้เกิดความชอบธรรม เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามที่มีความคิดเห็นต่าง มันช่างโหดร้ายกับคนธรรมดาอย่างผมจริงๆ

อย่างที่ผมเคยโพสต์ลงในเฟซบุ๊กอยู่บ่อยครั้ง ว่าการข่าวของฝ่ายตรงข้ามนี่มันช่างมั่วจริงๆ เพราะพวกเขายังคงเชื่อว่า หลังจากที่ผมออกมาจากคุกแล้ว ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการที่พวกเขาเรียกว่า "กระบวนการล้มเจ้า" ซึ่งนั่นไม่เป็นความจริงเลย เพราะหลังจากผมออกมาแล้ว ผมก็ประสบกับความยากลำบากในชีวิต เช่นเดียวกับอดีตนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ที่พ้นโทษออกมา ไม่มีการช่วยเหลือ ไม่มีการสนับสนุนใดๆ จากคนใน "ผังล้มเจ้า" ที่ผมถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องเลย อีกทั้งผมเองได้ให้ข่าวกับสื่อภายนอกอย่างแข็งขันมาตลอดว่าไม่ได้มีความประทับใจในแนวทางการต่อสู้ของ นปช. โดยเฉพาะการทอดทิ้งประชาชนคนธรรมดา ให้ประสบชะตากรรมโดยลำพัง ภายในเรือนจำ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และต่อมาผมจึงได้คิดเคลื่อนไหว "กลุ่มอดีตนักโทษการเมือง" ขึ้นมา เพื่อต้องการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยทางการเมือง เน้นเฉพาะผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการช่วยเหลือ

เรื่องเหล่านี้ ใครๆ ก็รู้ว่าผมทำเพื่ออะไร เกี่ยวข้องกับการเมืองไหม? หากมีสมองคิดหน่อย จะรู้เลยว่า ผมพยายามจะถอยห่างการเมือง โดยกลับมายืนอยู่เคียงข้าง "ประชาชน" และให้ความสำคัญกับ "สิทธิมนุษยชน" มากขึ้น นั่นคือในบทบาทของประชาชนคนหนึ่งที่ตื่นตัวด้านสิทธิมนุษยชน และในอีกบทบาทหนึ่ง ผมเองก็พยายามจะก่อร่างสร้างตัว เพราะมีลูกเล็กที่จะต้องรับผิดชอบ และกำลังสร้างครอบครัวใหม่ 

ถ้าไม่อัคติ หรือระแวงผมจนเกินไป เรื่องแค่นี้.. ทำไมจะไม่รู้

และการที่ผมไปร่วมกิจกรรมทางการเมือง งานเสวนาต่างๆ ก็เพราะผมยังคงสนใจเรื่องการเมืองอยู่บ้าง เพราะผมเชื่อว่าการแสดงออกทางการเมือง มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนอยู่แล้ว อีกอย่าง ผมก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านคุก ผ่านตะรางมานานพอสมควร สิ่งต่างๆ ที่ผมประสบพบเจอมา มันได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการจะศึกษา เรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องราวต่างๆ ในเรือนจำ ที่ผมได้สะท้อนออกมาในหลายๆ บทความ และในหลายๆ เวทีเสวนาต่างๆ 

เรื่องเหล่านี้ที่ผมทำ.. มันน่ากลัวตรงไหน เป็นภัยอันตรายต่อประเทศชาติอย่างไรกัน?

ที่มาภาพ: กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ

เอาละ มาถึงเหตุผลของผม ที่ว่าทำไมถึงไม่เข้าไปรายงานตัว ว่ามันคืออะไรกันแน่ เหตุผลแรกเลยคือ ผมยอมรับไม่ได้กับการยึดอำนาจของคณะทหาร คสช. และยอมรับไม่ได้ต่อการยึดอำนาจใดๆ ที่ไม่ได้มาจากความเห็นพร้องต้องกันของประชาชน ซึ่งการยึดอำนาจครั้งนี้ มันไม่ต่างจากปี 2549 ที่ทำให้ผม และใครต่อหลายคน ตื่นตัวทางการเมือง และเหตุการณ์นั้น ทำให้ประชาชนธรรมดามากมาย ออกมาแสดงสิทธิทางการเมืองมากขึ้น นี่คือเหตุผลหลักๆ ของผม

เพราะพวกคุณเป็นใครกัน ถือดียังไง มาปล้นอำนาจจากผู้แทนของประชาชน มันง่ายเกินไปหรือเปล่า !!

เหตุผลอีกข้อคือ ผมไม่อาจไว้วางใจกระบวนการยุติธรรมของไทยได้อีกต่อไป หลังจากที่ผมเคยอดทน ต่อสู้เพื่อร้องขอความเป็นธรรม ในคดีหมิ่นฯ ที่ผมโดนตัดสินมาถึง 13 ปี โดยไม่ได้รับการประกันตัว เคยต่อสู้ เรียกร้องเพื่อสิทธิในการประกันตัว ขอความเป็นธรรมต่างๆ แต่ก็ไม่เคยได้รับความเมตตานั้น จากเคยศรัทธา กลายเป็นความแค้น และไม่เคยให้ความศรัทธาใดๆ กับระบบยุติธรรมไทยอีกเลย นับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ว่า.. นั่นเป็นกรณีศาลพลเรือนนะ แต่นี่ยิ่งกว่า เพราะเป็นศาลทหาร เด็ดขาดกว่าเยอะ ซึ่งหากเขาจะยัดข้อหา จะใส่ร้ายอะไรผม ผมคงไม่มีสิทธิ์จะโต้แย้งอะไร

50% หลุด 50% รอด หากเข้าไปรายงานตัว เวลานั้น ผมไม่อยากวัดอะไรทั้งนั้น.. ขอรอดชัวร์ๆ 100% ดีกว่า..

ถ้าคุณเป็นผม ที่เคยโดนนักโทษรุมกระทืบ โดยมีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ พอคุณจะปริปากแก้ตัว แค่อ้าปากก็โดนตบ โดนเตะ แล้ว เพราะพวกเขาไม่ฟัง คุณจะเข้าใจความรู้สึกของผมดี

ถ้าคุณเป็นผม ที่เคยโดนทหาร ตำรวจหลายสิบคน ล้อมหน้าล้อมหลัง ทำเหมือนเราเป็นผู้ร้ายฆ่าคน ตอนปี 53 ที่พวกเขามาล้อมจับผม เขาจะยัดเยียด ข่มขู่เรายังไงก็ได้ เอาเรื่องลูกที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาขู่บังคับให้ผมรับสารภาพ โดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอะไรทั้งนั้น คุณจะเข้าใจความรู้สึกของผมดี

การตัดสินใจที่จะไม่ไปรายงานตัว จึงเกิดจากเหตุผลเหล่านี้ และวันนี้ ผมเลือกที่จะสูญเสียอีกครั้ง สูญเสียครอบครัว ลูก สูญเสียคนรัก เพราะผมไม่อาจยอมรับได้ กับการถูกกดขี่ รังแก ได้ต่อไปอีก ผมเคยพลาดมาแล้ว ในปี 2553 ครั้งนั้นพลาด เพราะถูกกฎหมายไร้สาระเล่นงาน แต่ครั้งนี้ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก และผมจะไม่ยอมให้อำนาจเถื่อน เฮงซวย ย้อนกลับมาเล่นงานผมได้อีก

หลังจากนี้ ผมเลือกที่จะไปประเทศที่ 3 เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยฝากลูกชาย ที่ผมรักสุดหัวใจเอาไว้กับพ่อและแม่ของผม ซึ่งเวลานี้ พวกท่านก็โดนข่มขู่ไม่เว้นวัน มีตำรวจ ทหาร ไปเยี่ยมเช้าเย็น จนแม่ผมต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะความเครียด นี่คือความเลวทรามของคณะทหารที่ยึดอำนาจจากประชาชน

ผมรู้ว่าผมทำผิดกับครอบครัว และคนรักมากๆ แต่ผมไม่มีทางเลือก หวังว่าทุกคนจะให้อภัย

ลาก่อนประเทศไทยที่ผมรัก วันนี้ ประเทศนี้ มันยังไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างเราอย่่างแท้จริง และเมื่อประเทศเป็นประชาธิปไตย (แท้จริง) เมื่อไหร่ เป็นของประชาชนจริงๆ เมื่อไหร่ เมื่อนั้น เราคงมีโอกาสได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดอีกครั้ง

ฝากบอกไปยังคณะทหารผู้ทำการยึดอำนาจในครั้งนี้ด้วยนะ คุณไม่มีทางจะเปลี่ยนชีวิต จิตวิญญาณของพวกเราได้หรอก คุณทำได้แค่ทำให้เรากลัว และหลบอยู่นิ่งๆ เพราะคุณมีปืน มีอาวุธ แต่สักวันเมื่อถึงเวลา คุณจะได้เห็นการรวมตัวของประชาชนอีกครั้ง และถึงเวลานั้น คุณจะรู้ว่า.. เวรกรรม มีจริง

เชื่อมั่น และศรัทธา
หนุ่มเรดนนท์
26 กค. 2557 

บล็อกของ หนุ่มเรดนนท์

หนุ่มเรดนนท์
วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช.
หนุ่มเรดนนท์
ช่วงนี้ ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน ได้โพสต์เรื่องราว เกี่ยวกับ "ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์" ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่โดน คสช.
หนุ่มเรดนนท์
หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมี
หนุ่มเรดนนท์
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด
หนุ่มเรดนนท์
 
หนุ่มเรดนนท์
“ถ้าผมรู้ว่าอากงจะจากไปเร็วอย่างนี้ ผมคงจะดูแลอากงให้ดีกว่านี้” ผมยังจำได้ไม่มีวันลืม เพราะคำพูดนี้ ผมได้พูดกับทนายอานนท์ นำภ
หนุ่มเรดนนท์
นับจากที่ผมได้เข้ามอบตัวต่อศาลอาญารัชดา เพื่อต้องการที่จะต่อสู้คดีตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 จนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ 11 และผมก็ได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีตามสิทธิขั้นพื้นฐานรวมแล้วก็ 6 ครั้ง และได้รับการ
หนุ่มเรดนนท์
เป็น เดือนที่ 5 แล้วสำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำแห่งนี้ของผม หลังจากที่ครบ 4 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้นับเป็นสัปดาห์ที่สำคัญที่สุดสัปดาห์หนึ่งของการเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ต้องขังเสื้อแดง เพราะรัฐบาลที่มีพรรคเพ
หนุ่มเรดนนท์
ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทคว