หรือเราจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ชุดที่ 3/3 (ตอนที่ 11-17)

ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม

 

ตอนที่ 11: กลับมาเป็นเหมือนเดิม ที่ไม่เหมือนเดิม

การย้ายกลับมาของป้อม ป๋องไม่ขัดข้อง แต่มีเงื่อนไขว่า ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ต้องช่วยกันออก แล้วต่างคนต่างก็ทำงานใครงานมัน ป้อมยอมตกลงตามเงื่อนไขที่ว่านี้ จึงไม่มีปัญหาอะไรในการอยู่ร่วมกัน แต่ที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาแน่ๆ และเด่นชัดที่สุด กลับไม่ใช่เรื่องของคน แต่เป็นเรื่องบรรดาหมาๆ
 
ทันทีที่มันย้ายมาอยู่ด้วยกัน ณ บ้านแห่งนี้ การประลองกำลังของหมาทั้งสองฝ่ายก็เริ่มขึ้น ฝ่ายป้อม เดิมมีปุยฝ้าย หมาฝรั่งสีขาวเพศเมียอยู่ 1 ตัว ช่วงที่ย้ายออกไปก็ซื้อเพิ่มอีก 1 ตัว เป็นหมาฝรั่งสีขาวเหมือนกัน แต่เป็นเพศผู้ ชื่อ “เจ้าสโนไวท์” เพื่อให้มาเป็นเพื่อนกันกับปุยฝ้าย

ด้านป๋อง เดิมมีเจ้าเชอรี หมาพันธุ์ไทยเพศเมียอยู่แล้ว น้องชายของนิดก็ไปเก็บหมาข้างถนนมาเพิ่มอีก 1 ตัว เป็นหมาตัวผู้ สีดำ มาอยู่เป็นเพื่อนเชอรี เจ้าตัวนี้มีชื่อว่า “เจ้าแฮ็คส์” เพราะตัวมีสีดำเหมือนลูกอมแฮ็คส์

เมื่อหมาโต 4 ตัวมาอยู่รวมกัน ก็เห่าและกัดกันแทบจะทุกวัน การทะเลาะกันของหมา เริ่มลุกลามกลายเป็นปัญหาของคน เมื่อป้อมโดนเชอรีกัดแขน แผลเหวอะหวะ ตอนที่เข้าไปห้ามเจ้าฝ้ายกับเจ้าเชอรีกัดกัน ครั้งนี้ ทำให้ป้อมแค้นฝังใจเจ้าเชอรีมาก บอกว่าเป็นหมาอกตัญญู เขาเป็นคนช่วยชีวิตมาแท้ๆ แต่กลับเนรคุณ กัดเขา ดังนั้นเวลาที่ป๋องออกไปทำงาน ป้อมก็มักจะแอบแกล้งเชอรีอยู่เป็นประจำ ด้วยการเอาไม้แหย่ให้เห่า แกล้งเงื้อไม้ตีให้กลัว ทำอย่างนี้ทุกวันจนเชอรีกลายเป็นหมาขี้หงุดหงิด ไม่ไว้ใจใคร ใครเข้าใกล้ก็ระแวง โดยเฉพาะป้อม แค่เห็นไกล เชอรีก็ลุกขึ้นเห่าแบบสุดชีวิต

เรื่องการแกล้งเชอรีนี้อยู่ในสายตาของคนที่อยู่ในบ้านมาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ป๋องเห็นป้อมกำลังแหย่เชอรีต่อหน้าต่อตา จึงพูดไปว่า “มึงโรคจิตนี่หว่า ชอบยั่วชอบแกล้งแม้กระทั่งหมา นี่ถ้าโดนกัดอีกก็อย่ามาบ่นละกัน” ป้อมก็บอกว่า “มันกัดกูได้ครั้งเดียวแหละ ไม่มีครั้งที่สองแน่” จากนั้นก็โยนไม้ใส่เชอรีที่กำลังเห่าอยู่ แล้วเดินจากไป


ตอนที่ 12: ความสัมพันธ์พี่น้องร้าวลึก จากเรื่องหมาๆ

จากท่าทีของป้อมที่มีต่อเจ้าเชอรี ทำให้ป๋องเป็นห่วงหมาของตัวเองจะถูกรังแกไม่วันใดก็วันหนึ่ง  ป๋องจึงคอยระมัดระวังอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นอีก สองพี่น้องต่างมีหมากันคนละ 2 ตัว และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหมาของตนกับอีกฝ่าย เวลาป๋องออกไปทำงาน ก็จะขังเชอรีไว้ในห้องนอน กินนอนอยู่ในห้อง เสร็จงานกลับบ้านก็จะปล่อยลงมาเพื่อให้ขับถ่าย ป้อมเองก็ทำเหมือนกัน ดูเหมือนไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรได้

ในบางครั้งก็เกิดข้อผิดพลาดบ้าง เมื่อหมาของทั้งสองฝ่ายได้เจอกัน มีการกัดกัน 4 ตัว ชุลมุนวุ่นวายไปหมด ที่น่าแปลกก็คือ ทุกครั้งที่มีการกัดกัน หมาของป้อม เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสมอ เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับป้อมเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่หมาของป้อมตัวใหญ่กว่าหมาของป๋องทั้งสองตัว

มีอยู่วันหนึ่ง ป๋องเลิกงานแล้ว นั่งจิบเบียร์พักผ่อนอยู่ที่ลานจอดรถเหมือนเคย จากนั้นก็มีเสียงเห่าดังลงมาจากห้องของป้อม แน่นอน เป็นเสียงเจ้าฝ้าย หมาคู่อรินั่นเอง เชอรีซึ่งอยู่ข้างล่างกับป๋องจึงไม่รอช้า รีบวิ่งขึ้นบันไดไปตามเสียงเจ้าฝ้ายทันที  ป๋องเองก็เห็นท่าจะไม่ดีเลยวิ่งตามไปติดๆ แล้วอุ้มเชอรีไว้ ในขณะที่เชอรีกำลังเห่าโต้กับเจ้าฝ้าย ผ่านซอกประตูหน้าห้องของป้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มันไม่ทันซะแล้ว เพราะป้อมเปิดประตูออกมา โวยวายและถือมีดสั้นปลอกผลไม้ วิ่งไล่แทงเจ้าเชอรีจนป๋องเกือบตกบันได  เชอรีวิ่งลงมาข้างล่าง ป้อมก็วิ่งตามลงมาด้วย ป๋องก็วิ่งเข้าไปกันท่าเอาไว้ ป้อมอยู่ในอาการโมโหสุดขีด ด่าป๋องว่าเป็นคนยุให้หมากัดกัน ยั่วให้หมาทะเลาะกัน ป๋องตอบกลับไปว่า เขาไม่ได้ยุ มันวิ่งขึ้นไปเอง เขาก็ตามไปห้ามแล้ว ป้อมก็เห็น แต่ป้อมไม่ยอมเชื่อ เอาแต่ต่อว่าป๋องท่าเดียว ป๋องรำคาญ เลยพูดกลับไปว่า “จะโวยวายทำไม มันก็แค่เรื่องหมาทะเลาะกันเท่านั้น ที่โวยวายน่ะ มีจุดประสงค์อื่นหรือเปล่า จะหาเรื่องอะไรอีกล่ะ ครั้งนี้ไม่ยอมแล้วนะ เป็นไงเป็นกัน” พูดจบ ป๋องก็พาเจ้าเชอรีขึ้นรถ ไปแจ้งความที่โรงพักทันที ลงบันทึกประจำวันไว้ หากเกิดอะไรขึ้นอีก จะได้ใช้บันทึกนี้เป็นหลักฐานได้ เวลานี้ป๋องไม่ไว้ใจป้อมอีกแล้ว

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขณะที่เรื่องเก่ายังคุกรุ่นอยู่ ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีก เป็นเรื่องหมาเหมือนเดิม ในขณะที่ป๋องกำลังเดินเข้ามาในบ้าน หลังเลิกงานพอดี ก็ได้ยินเสียงหมากัดกันอยู่ชั้นบน เขาจึงวิ่งตามเสียงขึ้นไปอย่ารวดเร็ว เห็นเชอรีกำลังงับคอเจ้าฝ้ายอยู่ มีเลือดเต็มตัว ป้อมยืนถือไม้หน้าสามอยู่ห่างๆ พอเชอรีเห็นป๋องก็ดีใจ วิ่งเข้ามาหาป๋อง จังหวะที่เชอรีกำลังหันหลัง ป้อมก็ใช้ไม้ตีเข้าที่หลังเชอรีอย่างจัง เชอรีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ป้อมไม่มีทีท่าจะหยุดตี ป๋องจึงวิ่งเข้าขวาง  ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง

ป๋องนอนคิดเรื่องที่ทะเลาะกันตลอดคืน จนเช้าวันรุ่งขึ้น จึงเรียกป้อมมาคุยเพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป ป๋องบอกกับป้อมว่า มาขออาศัยอยู่ เขาก็ให้ ทั้งๆที่ไม่ซื่อกับเขา ทั้งๆที่เขาอุตส่าห์ไว้ใจ ก็ยังทำกันได้ แล้วยังทำธุรกิจแข่งกับเขา แย่งลูกค้าที่เขาสร้างมากับมือ เขาก็ยกโทษให้ทั้งหมด ให้โอกาสแก้ตัว แล้วทำไมถึงมาสร้างปัญหาให้อีก มาอยู่ด้วยกันก็ยังทำสินค้าแข่งกับเขา ใช้อุปกรณ์ของเขา เขาก็ไม่ว่า ค่าน้ำค่าไฟที่สัญญาว่าจะช่วยกันออก ก็แกล้งทำเป็นเฉย ทำไมเป็นคนแบบนี้ ป๋องไม่อาจเก็บความอัดอั้น ความโกรธที่มีต่อป้อมได้อีกต่อไป เรียกได้ว่ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาจนหมด แบบไม่ไว้หน้า ทำเอาป้อมกับอายและโกรธจนพูดอะไรไม่ออก จนกระทั่งนิด แฟนป๋องเห็นท่าจะไม่ดี จึงแยกป๋องออกมา เพื่อให้สงบสติอารมณ์ เมื่อป๋องได้ระบายความรู้สึกที่คั่งค้างในใจออกมาแล้ว ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะเขาเป็นคนอดทน อดกลั้น รักพี่ รักครอบครัว จึงทำให้เขาไม่ติดใจอะไรแล้ว ขอให้มันผ่านแล้วผ่านไป

วันต่อมา ช่วงก่อนที่ป๋องจะออกไปส่งของให้ลูกค้าเหมือนทุกวัน ป้อมมีท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส เดินเข้ามาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทักทายป๋อง แล้วบอกว่าอยากขอคุยด้วยเรื่องธุรกิจ โดยป้อมเสนอว่า อยากจะขอรวมกิจการด้วย แบบที่เคยทำกันมา เขาขอทำบัญชี ทำงานธุรการเหมือนเดิม แล้วแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง ป๋องจะว่ายังไง  ป๋องเองตั้งแต่มีปัญหาในครั้งนั้นแล้ว ก็ปฏิญาณว่าชาตินี้จะไม่ขอหุ้นขอเอี่ยวกับใครอีก แต่ก็ไม่วายใจอ่อน ยื่นข้อเสนอเพื่อให้โอกาสพี่ชายว่า จะกลับมาทำเหมือนเดิมก็ได้ เขายินดีด้วยซ้ำ แต่ป้อมต้องหาเงินมาลงเท่าๆ กัน รับผิดชอบร่วมกัน ถ้าได้กำไรก็แบ่งกันคนละครึ่ง ถ้าขาดทุนก็ต้องรับผิดชอบในหนี้สินเท่ากันด้วย ส่วนที่ป้อมจะทำบัญชีและเก็บเงิน เขาก็ไม่ว่า แต่ต้องทำรายรับรายจ่าย มีใบเสร็จให้ชัดเจน ทำให้ถูกต้อง แค่นี้ก็โอเค
ป้อมได้ยินข้อเสนอเช่นนี้แล้ว ก็เหมือนจะรับไม่ได้ ลุกจากเก้าอี้โดยไม่ยอมพูดจาอะไร ป๋องเองเลยพูดตามหลังไปว่า “เอาไปคิดดูก็แล้วกัน  ถ้าโอเคก็มาได้เลย

เช้าวันต่อมา ป้อมออกจากบ้านแต่เช้า เขาไปดำเนินการยกเลิกทะเบียนการค้าบริษัทของป๋องที่เขาเป็นผู้จดทะเบียนให้ ยกเลิกโทรศัพท์บ้าน เบอร์โทรศัพท์บริษัทของป๋อง แล้วจดใหม่เป็นของตัวเอง ยกเลิกอินเตอร์เน็ต ยกเลิกจานแดง ยกเลิกทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้แล้วโอนเป็นของตัวเองภายในวันเดียว โดยหวังจะให้ป๋องมีปัญหาทางธุรกิจ จะได้ย้ายออกจากบ้านหลังนี้  ที่มีทำเลดี และสถานที่ก็พร้อมทุกอย่าง
เมื่อป๋องรู้เรื่องนี้ ตอนแรกก็ตกใจ แต่ไม่สนใจอะไร เขาทำงานไปตามปกติ เขาคิดว่าดีเสียอีก ที่ป้อมทำอย่างนี้ จะได้จบกันเสียที สำหรับเขาแล้ว ไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่กระทบงานของเขาเลย เขาไม่เดือดร้อนอะไรมาก จึงกลายเป็นว่าแผนตัดแข้งตัดขาของป้อม ไม่สำเร็จ สร้างความเสียหายให้น้องชายไม่ได้ เขาจึงสะสมความโกรธเอาไว้ และรอจังหวะจะเปิดช่องให้เขาเล่นงานอีก แน่นอนมันยังไม่จบลงง่ายๆ เวลานี้ป๋องไม่ใช่น้องชายของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศัตรูที่เขาจะทำทุกวิถีทาง เพื่อทำลายลงให้ได้ ในอีกไม่นาน แผนร้ายกำลังจะตามมา


ตอนที่ 13: แผนร้ายที่ 1 ยืมมือเพื่อนฆ่าน้อง

ครั้งหนึ่งระหว่างที่ป้อมเดินสายไปต่างจังหวัด เพื่อโปรโมทเพลงของเขา ได้มีเพื่อนที่สนิททั้งป้อมและป๋องมาเที่ยวที่บ้าน แล้วเผลอไปเล่นกับเจ้าเชอรี แล้วโดนกัดจนฟันหัก แต่เพื่อนก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องอะไร

เพราะเป็นฝ่ายผิดที่เล่นกับเชอรีแรงไปหน่อย ป๋องเองก็พาเพื่อนคนนี้ไปรักษาอย่างดี และขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

ปรากฏว่าป้อมมารู้เรื่องเข้า ก็เลยยุให้เพื่อนคนนี้แจ้งความดำเนินคดีกับป้อม พร้อมแนะนำให้เรียกร้องค่าเสียหายให้ถึงที่สุด เสนอตัวจะเป็นคนพาไปโรงพัก แต่เพื่อคนนี้บอกกับป้อมว่าขอคิดดูก่อน จากนั้นจึงโทรคุยกับป๋องเพื่อสอบถามว่าพี่น้องทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า เพราะเขารู้สึกว่าป้อมทำอะไรแปลกๆ ที่ยุให้แจ้งจับน้องชายตัวเอง พอเพื่อนรู้ความจริงก็บอกว่า “เสี่ยป๋อง ผมไม่แจ้งความหรอก ยิ่งรู้ว่าเป็นอย่างนี้ด้วยก็ยิ่งเข้าใจ ผมแค่ถามเฉยๆ เท่านั้น”
ป๋องวางหูโทรศัพท์จากเพื่อน แล้วบ่นให้นิดฟังว่า “ไอ้ห่าเอ๊ย แกล้งกูกี่ครั้งก็ทำไม่ได้ คราวนี้แม่งเลยใช้มือเพื่อนมาเล่นงานกู น่าสงสารมันจริงๆ”


ตอนที่ 14: แผนร้ายที่ 2 ยืมมือหมาฆ่าน้อง

เวลานี้ป๋องระมัดระวังตัวมากขึ้นที่จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับป้อม เพราะรู้ว่าถ้าพลาดเมื่อไรเขาไม่รอดแน่ๆ คราวนี้ไม่ว่าจะมาไม้ไหน ป๋องก้จะไม่สนใจเลย ไม่พูดด้วย และก็ยังกำชับให้นิดกับลูกน้องระวังเช่นกัน เมื่อป้อมหาเรื่องป๋องไม่ได้ จึงใช้วิธีเล่นทางหมา  เพราะรู้ว่าป๋องรักและผูกพันกับเชอรีมาก และแล้วแผนร้ายครั้งที่สองก็เริ่มขึ้นอีก

ป้อมใช้วิธียั่วให้เชอรีโกรธ เห่า ตกใจในขณะที่ป๋องออกไปทำงาน ทำวันละนิดละหน่อย ทำทุกวันโดยป๋องไม่รู้ แต่คนในบ้านรู้ ยั่วจนถึงขั้นเชอรีเห็นป๋องแวบๆ ก็ทำให้เชอรีลุกขึ้นมาเห่าอย่างบ้าคลั่ง เป็นที่น่าแปลกใจอย่ามากกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเชอรี เมื่อป๋องสอบถามคนในบ้านดูก็พอจะเดาได้ว่าคราวนี้พี่ชายจะมาไม้ไหน จึงเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ

แล้วแผนร้ายที่สองก็เริ่มขึ้น ป้อมเลือกเอาวันที่ป๋องดื่มมาเป็นพิเศษ เพื่อจะได้ควบคุมสติลำบาก ในขณะที่ป๋องเล่นกับเชอรี ป้อมก็แกล้งเดินถือไม้เข้ามา เอาไม้แกว่งไปมา เท่านั้นแหละ เชอรีก็แทบคลั่ง ลุกขึ้นมาเห่าไม่หยุด ป้อมก็แกล้งทำเป็นเงื้อไม้จะหวด ป๋องจึงคว้ามีดทำครัวข้างโต๊ะทำงานแล้วขู่ว่า “เอาดิ ถ้ามึงตีหมากู กูฟันมึงจริงๆ” เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็สำเร็จตามแผน ป้อมเดินไปหน้าบ้าน โทรศัพท์แจ้งตำรวจทันที  โทรให้เห็นต่อหน้า แล้วก็มีตำรวจสองคนมาที่บ้านภายในไม่กี่นาที เพราะสน.อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก

เมื่อตำรวจมาถึง ก็จะเชิญตัวป๋องไปโรงพัก ป๋องจึงบอกว่า ให้ตำรวจคอยก่อน เขามีอะไรจะให้ดู แล้วก็แสดงใบลงบันทึกประจำวันที่เขาเคยแจ้งความไว้ที่โรงพักเดียวกันนี้ให้ดู แล้วบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นแผนของพี่ชายเขาเอง เขาอธิบายจนตำรวจเข้าใจ ตำรวจจึงแนะนำว่า อย่างนี้ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะเดี๋ยวก็มีเรื่องกันอีก น่าจะมีใครซักคนย้ายออกจากบ้าน เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ป๋องจึงบอกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาย้ายออกแน่ สิ้นปี หมดสัญญาเช่าเมื่อไร เขาจะไปทันที ตำรวจจึงพอใจ ป้อมได้ยินดังนั้นก็พอใจ แผนของเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว


ตอนที่ 15: ไม่ไหวแล้ว ต่อไปจะไม่ยอมอีกแล้ว

ความจริงแล้ว ถ้าดูจากบุคลิกภายนอกของป๋อง จะคิดว่าเขาเป็นคนขี้โมโห ขี้โวยวาย พูดจาดุแล้วไม่ค่อยยิ้ม มันก็อาจจะจริง เพราะเขาเป็นคนจริงจังกับชีวิตมาก ผ่านความลำบากมาอย่างโชกโชน แต่เขามีจุดอ่อนคือถ้าเป็นเรื่องครอบครัวแล้ว ป๋องจะทุ่มเทให้ทุกอย่างและอดทนกับครอบครัวมาก เพราะตั้งแต่ที่พ่อจากเขาไปตอนเป็นเด็ก ป๋องก็ทำหน้าที่แทนพ่อมาโดยตลอด แทนที่จะเป็นพี่ชายคนโต

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและพี่ชาย บัดนี้มันถึงจุดที่ยากจะประสานกันได้  เมื่อป้อมเล่นกันแรงขนาดนี้ ไม่คิดว่าเขาเป็นพี่น้องกัน  แล้วป๋องจะทนต่อไปทำไม เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ป๋องจึงบอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้ เขาจะไม่ยอมอีกแล้ว ป้อมไม่ใช่คนที่เขาจะเรียกว่า “พี่ชาย” อีกต่อไป

ป๋องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง เกี่ยวกับการย้ายออกจากบ้านที่เขาอยู่มาเกือบสิบปี ว่าทำไมเขาจึงต้องเป็นฝ่ายย้ายออกด้วย ทำเลที่ทำเงินให้เขาแบบนี้ ลูกค้าก็รู้จักร้านของเขามานานหลายปี เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่เขาทำขึ้นมาเพื่อธุรกิจของเขา แล้วทำไมเขาจึงจะต้องยอมเสียให้กับคนเลวๆคนหนึ่งด้วย ทันทีที่คิดได้ เขาก็เปลี่ยนใจว่าจะไม่ย้ายไป ไหนทั้งสิ้น แล้วถ้าหมดสัญญาเมื่อไร เขาก็ขอให้เป็นการตัดสินใจของป้าเจ้าของบ้านก็แล้วกัน

เช้าวันต่อมา ป๋องและนิดออกจาบ้านแต่เช้า เพื่อไปทำภารกิจทวงคืนทุกอย่างกลับมา พวกเขาไปขอโทรศัพท์ใหม่ ขออินเตอร์เน็ตใหม่ จดทะเบียนการค้าใหม่ และติดตั้งจานดาวเทียมแบบจานดำใหม่ ทุกอย่างดำเนินการเสร็จในวันเดียว

เมื่อป้อมเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของน้องชาย  ดูเหมือนว่าจะไม่ย้ายออกตามที่เคยรับปากกับตำรวจไว้ จึงมีความร้อนใจเป็นอย่างมาก ป๋องเองก็เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไว้ทุกรูปแบบ เพราะครั้งนี้เขาคงไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว  คราวนี้ได้เห็นดีกันแน่ๆ ป๋องคิดอย่างนั้น


ตอนที่ 16: แผนร้ายที่ 3 เคมีอันตราย

หลังจากทุกอย่างดูเงียบสงบอยู่พักใหญ่ อยู่ๆป๋องก็เห็นการเคลื่อนไหวของพี่ชายอีกครั้ง เขาสั่งลูกน้องย้ายข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์สำนักงานของเขา  เก็บขึ้นไปไว้ในห้องนอนทั้งหมด จากนั้นทราบข่าวมาว่า เขาไปเช่าห้อง อยู่ไม่ไกลจากบ้านเดิมสักเท่าไร ขนย้ายอุปกรณ์หนัก อย่างสารเคมี น้ำยาต่างๆในส่วนของเขา (อุปกรณ์ที่ป๋องมี ป้อมก็มีเหมือนกัน เพราะเลียนแบบจากกิจการของป๋องมา) ย้ายไปอยู่ในห้องเช่าแห่งใหม่ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้อมจึงแกล้งโทรมาบอกนิด แฟนของป๋องว่า ให้รีบย้ายของออกโดยด่วน  เพราะจะมีเทศบาลมาตรวจ เขาจะจับคนที่ทำธุรกิจมีเคมีอันตรายอยู่ในบ้าน ในเขตกทม. ซึ่งมีโทษร้ายแรงถึงติดคุก

เมื่อป๋องได้ยินดังนั้น ก็คิดว่า เอาอีกแล้ว เอาคุกเอาตารางมาให้อีกแล้ว หลายคนในบ้านต่างตกใจคำขู่ของป้อม โดยเฉพาะนิดที่แทบทำอะไรไม่ออก  ความจริงแล้วป๋องเองก็คิดกลัวเหมือนกัน แต่ก็คิดว่า ทำงานสุจริต เสียภาษีอย่างถูกต้อง เขาจะกลัวไปทำไม เมื่อเขาไม่ผิด ใครจะมากลั่นแกล้งไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจคำขู่ แล้วท้ากลับทางโทรศัพท์ว่า “เอาเลย จับได้เอามาจับกูเลย คนที่ทำงานแบบนี้มันก็มีทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่มึงก็หากินแบบเดียวกับกู ถ้าจับกูก็ต้องจับมึงด้วย” ท้ายที่สุดสำนักงานเขตก็ไม่มา แผนร้ายครั้งนี้ก็ไม่สำเร็จ ห้องที่เช่าเก็บของก็ต้องจ่ายค่าเช่า  จะย้ายกลับมาก็ดูกระไรอยู่ ป้อมจึงจำต้องฝืนใจกัดฟันอยู่ต่อไป เพื่อหาทางเล่นงานป๋องวิธีอื่น


ตอนที่ 17: แผนร้ายสุดท้าย .....

เวลานี้ป้อมอยู่ในฐานะเข้าตาจน เพราะแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นศัตรูกับน้องชายตัวเอง ไม่มีใครสนแล้วว่าเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นป้อมจึงไม่อาจอยู่บ้านเดียวกับป๋องได้อีกต่อไป อีกทั้งป้อมก็รู้อยู่แล้วว่าคุณป้าเจ้าของบ้าน คงเลือกให้ป๋องอยู่ต่อ เพราะเขาเคยเข้าพบป้าเจ้าของบ้าน แล้วฟ้องว่าป๋องเป็นพวกขี้เมา ไร้การศึกษา แต่ป้อมกลับโดนด่ากลับมาว่าเป็นพี่ประสาอะไร จึงมากล่าวหาน้อง แล้วป้าก็รู้มาตลอดว่า คนที่ช่วยป้อมมาจนถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่ใครอื่น ก็น้องชายเขานั่นเอง สุดท้ายป้าก็ยังบอกกับป้อมอีกว่า คนไม่กินเหล้า ไม่ขี้เหล้าก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าจะให้เลือกระหว่างคนขี้เหล้ากับคนขี้โกง ขอเลือกคนขี้เหล้าดีกว่า ป้อมถูกตอกกลับมาจนหน้าหงาย

ป้อมเก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋า จำใจต้องลาจากที่นี่ไปด้วยความปวดร้าว อาฆาตแค้น ก่อนออกจากบ้าน แทนที่ป้อมจะไปลาป้าเจ้าของบ้านที่เป็นผู้ใหญ่ นับถือกันมานาน แถมยังเป็นคนบ้านเดียวกัน เขากลับตะโกนด่าป้าหน้าบ้านว่า ป้าเข้าข้างคนเลว คนชั่ว สักวันจะต้องเจอดี และออกจากบ้านไปตั้งแต่วันนั้น โดยป๋องไม่เคยได้ข่าวคราวอีกเลย

มันจบแล้วใช่ไหม ความวุ่นวายต่างๆ ที่ผ่านเข้าในชีวิตของสองพี่น้องนี้ จะไม่มีอีกแล้วสินะ ที่เขาจะต้องมานั่งกังวลว่า จะมีใครมาคอยจับผิด กลั่นแกล้งให้ทุกข์ใจอีก แม่ของเขาก็ดีใจและโล่งใจที่พี่น้องสองคนแยกห่างกันได้เสียที เพราะแม่รู้ดีว่าลูกของเธอนิสัยใจคอเป็นอย่างไร นี่คงเป็นเวลาแห่งความสุขของป๋องแล้วสินะต่อไปนี้ เขาและครอบครัวจะได้หมดความกังวลเรื่องพี่ชายซักที

แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น ป๋องคิดผิด เพราะคนอย่างป้อม ไม่มีหรอกที่จะยอมแพ้ใครง่ายๆ ช่วงเวลานั้นเองที่สถานการณ์บ้านเมืองกำลังอยู่ในความวุ่นวายทางการเมือง มีการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อสีหนึ่ง ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี และมีคนถูกแจ้งจับเข้าคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ โดยมีผังล้มเจ้าเป็นหลักฐานในการเอาผิดคนกลุ่มนี้ เป็นข่าวเกรียวกราวมากในช่วงปี 2553

ป๋องเองก็ทราบข่าว และติดตามความเคลื่อนไหว ของคนกลุ่มนี้อยู่เหมือนกัน เพราะตัวเองและครอบครัวมีความนิยมชมชอบในพรรคการเมืองของอดีตนายกฯ ที่ถูกทหารยึดอำนาจไปอย่างไม่เป็นธรรม ในปี 2549 อยู่ไม่น้อย หลังสลายการชุมนุมปี2553 เขาทราบข่าว่า มีคนมากมายถูกจับในข้อหาร่วมชุมนุม ถูกกล่าวหาว่าไม่รักสถาบันกษัตริย์อยู่ตลอด แต่ก็ได้เพียงรับรู้จากข่าว เสียใจและเห็นใจผู้คนเหล่านั้น โดยไม่เคยรู้เลยว่า หลังจากนั้นไม่นาน เขาเองก็ต้องโดนเหมือนกัน

ปลายปี 2553 เขาได้รับหมายเรียกให้เข้าไปรายงานคัวที่กองปราบฯ เขาเองงงว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ก็ไปตามนัด เพราะคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจก็แจ้งข้อกล่าวหาแก่เขา ในความผิดร้ายแรง แบบเดียวกับที่ผู้ร่วมชุมนุมโดนกัน  เขามีความผิดเกี่ยวกับความไม่จงรักภักดี แต่ที่ทำให้ตกใจที่สุดคือ คนที่แจ้งจับเขา คือ “พี่ชายแท้ๆ” ของเขาคนเดิมนี่เอง

ใช่แล้ว ป้อมยังไม่หยุด ยังไม่สำนึก และครั้งนี้เขาก็ฉลาดหลักแหลมมาก ที่เลือกใช้กฎหมายที่ใครจะกล่าวหาก็ได้ และตำรวจ กระบวนการศาล มิอาจปฏิเสธได้ มาใช้กับศัตรูหมายเลขหนึ่งมี่เขาไม่เคยเอาชนะได้เลยสักครั้งในชีวิต

เขาทำสำเร็จแล้ว วันนี้เขาเอาน้องชายเข้าคุกได้แล้ว แม้จะไม่ได้อะไรนอกจากความสะใจ แต่เขาก็ทำไปโดยไม่สนใจว่าเป็นพี่น้องกัน น้องจะต้องประสบกับปัญหาอะไร จะมีความทุกข์อะไร ถ้าต้องติดคุกติดตาราง ที่ร้ายที่สุด หลักฐานที่นำมากล่าวหาน้อง มันก็น้อยเต็มที แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะมีการขีดเส้นเอาไว้แล้วว่า ป๋องจะต้องมีความผิด ไม่ว่าหลักฐานจะเบาแค่ไหนก็ตาม

วันที่ป๋องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำครั้งแรก  เขาพูดกับแม่ว่า “แม่ ไอ้ป้อมมันเป็นพี่ชายของผมจริงๆ หรือ ทำไมมันถึงทำกับผมอย่างนี้ เราสองคนเป็นสายเลือดเดียวกันหรือเปล่า แม่ช่วยตอบผมหน่อยสิครับ”

แม่วัยชราไม่ตอบ ได้แต่ร้องไห้ และมองดูลูกที่ถูกใส่กุญแจมือเดินจากไป

จบบริบูรณ์

ตอนก่อนหน้านี้

 

 

ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์ ที่ผมรู้จัก

ช่วงนี้ ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน ได้โพสต์เรื่องราว เกี่ยวกับ "ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์" ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่โดน คสช.

หนุ่มเรดนนท์ - 1 ปีกับการหนีภัยเผด็จการในต่างแดน 2/2

หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมี

หนุ่มเรดนนท์ - 1 ปีกับการหนีภัยเผด็จการในต่างแดน 1/2

"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด้วยจั