Skip to main content

หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมีเป้าหมายที่แทบไม่ต่างกันคือ "เดินหน้าทำเรื่องลี้ภัยไปประเทศที่สาม" ในทันที..

 

คำถามต่อมาก็คือ.. แล้วในระหว่างที่กำลังดำเนินการต่างๆ เพื่อไปประเทศที่สามละ.. เราจะอยู่กันอย่างไร?

 

เพราะหากยังคงต้องใช้เงินที่ติดตัวมาแต่เพียงน้อยนิด เพื่อเช่าห้องพัก แล้วอยู่แบบชั่วคราวไปวันๆ อีกไม่นาน.. พวกเราคงหมดตัวกันก่อนที่จะได้ไปประเทศที่สามเป็นแน่..

 



เราจึงตัดสินใจที่จะจัดการกับปัญหาตรงนี้ ด้วยการมองหาบ้านพักสักหลัง ขนาดกลางๆ ราคาไม่แพง เพื่อจะได้อยู่ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักของพวกเราได้มากทีเดียว

 

เราใช้เวลาหาบ้านใหม่ ที่เหมาะสมกับพวกเราประมาณ 2 สัปดาห์ เบื้องต้นเรามีเงินไม่พอจ่าย แต่เจ้าของบ้านก็ยินดีให้เราจ่ายครึ่งหนึ่งก่อน เราจึงย้ายเข้าไปอยู่ในเวลาอันรวดเร็ว เงินค่าเช่าส่วนใหญ่ ก็ได้มาจากการหยิบยืมเงินจากเพื่อนๆ ที่รู้จัก และเข้าใจในสภาพที่พวกเราเป็นอยู่

 

ปัญหาเรื่องที่พักอาศัยของพวกเราจึงจบลง แต่มันยังคงจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกแน่นอน เตรียมรอได้เลย..

 

 

ในหมู่คนเสื้อแดง ส่วนใหญ่จะมีความเชื่อกันว่า ผู้ที่หนีภัยไปประเทศที่ 2 นั้น จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีเงินเดือนให้ใช้ มีที่พักให้ฟรี ข้อมูลเหล่านี้ คงได้มาจากกลุ่มคนที่เคยหนีไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงหลังสลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งพอเหตุการณ์สงบลง พวกเขาเหล่านั้นได้กลับมายังประเทศไทย จึงได้มีการถ่ายทอดเอาประสบการณ์เหล่านั้น ให้กับคนเสื้อแดงทั่วไปให้รับทราบกัน ซึ่งข้อมูลตรงนี้ ยอมรับว่า มันคือความจริงแน่นอน

 

ดังนั้น พวกที่หนีภัยข้ามมา (หลังรัฐประหาร '57) บางคน บางกลุ่ม จึงมีความเชื่อเหมือนเดิมว่าจะต้องได้แบบนั้น หลายคนไม่มีงานทำ ไม่มีคดีร้ายแรง ก็หาเรื่องที่จะข้ามมา โดยหวังว่าจะได้รับการดูแล ได้เงินได้ทองใช้ ได้อยู่อย่างสุขสบาย ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากรุ่นก่อน

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีการช่วยเหลือใดๆ เลย ทุกคนต่างต้องดูแล ช่วยเหลือตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดการไม่พอใจ จนนำมาซึ่งความขัดแย้ง เคลือบแคลง สงสัย ไม่ไว้ใจกันในเวลาต่อมา.. 

 

และสุดท้าย นำมาสู่ความแตกแยกในหมู่ผู้หนีภัยที่นี่ในที่สุด !!

 

 

เป็นเรื่องที่ยาก และหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เมื่อคนต่างความคิด ต่างพ่อแม่ ต่างอุดมการณ์ ต่างแนวทาง จำเป็นต้องมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ใกล้กัน อย่างบางคนไปแค่ลำปาง แต่บางคนจะไปเชียงใหม่ หรือไปดาวอังคารโน่น หรือบางคนเป็นการ์ด ที่ตลอดการต่อสู้ มีแต่ใช้กำลัง คิดไม่ค่อยจะเป็น อย่างนี้แล้ว จะไม่เกิดปัญหาได้อย่างไร

 

การแตกแยกเกิดขึ้นชัดเจนมากขึ้นเมื่อมี "นักปฏิวัติ" ชื่อดังปรากฎตัวขึ้น แล้วทำการรวบอำนาจทุกอย่าง จากคนที่เคยอยู่มาก่อน และตั้งตัวเป็นผู้นำ และตัวแทนของคนทุกกลุ่ม ทั้งๆ ที่ตามมาทีหลัง เขาใช้ความเป็นคนมีชื่อเสียง ดิสเครดิตคนที่เห็นต่าง หรือไม่เห็นด้วยกับเขา ในทุกวิถีทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าเขาจะทำได้ขนาดนั้น นี่มันเรื่องผลประโยชน์ล้วนๆ เลยจริงๆ !!

 

การต่อสู้กับศัตรู ต่อสู้กับความเลวร้าย จากเผด็จการ นับว่าลำบากแล้ว

แต่การต้องมาเจอความเลวร้าย เล่ห์เหลี่ยม กลโกง ของคนฝ่ายเดียว นี่มันน่าบัดซบที่สุด..

 

ผลสุดท้าย เขาชนะ.. แต่พวกผมก็ไม่แพ้ !!

 

 

 

"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" การอดทนที่จะยืนอยู่ต่อไปให้ได้ที่นี่ จึงสิ่งที่ต้องทำ แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ผมเชื่อว่าพวกเราที่นี่รู้ดี ว่าคงต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าพวกเราจะได้กลับประเทศ อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าเหตุการณ์จะกลับไปสู่สภาวะปรกติ 

 

โดยส่วนตัวผมคิดว่า.. หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบ ก็คงกลับไม่ได้แน่ๆ !!

ดังนั้น พวกเราจะอยู่กันยังไงต่อไปหลังจากนี้..

 

ทางแรก จะเฝ้าคอย ร้องขอ หรือรอรับการบริจาคเงิน จากเพื่อนๆ ตลอดไป หรือ..

สร้างรายได้ ด้วยตัวเอง จากการประกอบอาชีพอะไรก็ได้ ซึ่งมีให้ทำเยอะแยะมากมายที่นี่

 

ซึ่งผม และเพื่อนในกลุ่ม เลือก ที่จะเดินทางหลัง !!

 


ต้องยอมรับว่าการเขียนบทความชุดนี้ มีความยากลำบากมาก ต้องอ่าน และทบทวนในหลายๆ รอบ เพราะกังวลเรื่องของการเสียลับ และความลำบากใจ (เล็กน้อย) ที่จะต้องพาดพิงบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่อง ซึ่งเป็นบุคคลที่ผมเคยให้ความเคารพมาก่อน..
 

  • 1 ปี แห่งการลี้ภัยในต่างแดน
  • 1 ปี แห่งการเป็นผู้อาศัย
  • 1 ปี แห่งการพลัดพราก ห่างไกล และจะเป็น
  • 1 ปี แห่งการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ของผมเช่นกัน !!


ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ให้การช่วยเหลือพวกเรามาโดยตลอด ทั้งในที่แจ้ง หรือในที่ลับ
เราจะยืนหยัด อดทน และฟันฝ่าอุปสรรค เพื่อรอเวลานั้น..
แล้วเราจะกลับไปพบกัน "เมื่อวันที่ท้องฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ" เกิดขึ้นที่บ้านเรา !!

เชื่อมั่น และศรัทธา
หนุ่มเรดนนท์
26 พ.ค. 2558

บล็อกของ หนุ่มเรดนนท์

หนุ่มเรดนนท์
วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช.
หนุ่มเรดนนท์
ช่วงนี้ ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน ได้โพสต์เรื่องราว เกี่ยวกับ "ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์" ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่โดน คสช.
หนุ่มเรดนนท์
หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมี
หนุ่มเรดนนท์
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด
หนุ่มเรดนนท์
 
หนุ่มเรดนนท์
“ถ้าผมรู้ว่าอากงจะจากไปเร็วอย่างนี้ ผมคงจะดูแลอากงให้ดีกว่านี้” ผมยังจำได้ไม่มีวันลืม เพราะคำพูดนี้ ผมได้พูดกับทนายอานนท์ นำภ
หนุ่มเรดนนท์
นับจากที่ผมได้เข้ามอบตัวต่อศาลอาญารัชดา เพื่อต้องการที่จะต่อสู้คดีตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 จนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ 11 และผมก็ได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีตามสิทธิขั้นพื้นฐานรวมแล้วก็ 6 ครั้ง และได้รับการ
หนุ่มเรดนนท์
เป็น เดือนที่ 5 แล้วสำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำแห่งนี้ของผม หลังจากที่ครบ 4 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้นับเป็นสัปดาห์ที่สำคัญที่สุดสัปดาห์หนึ่งของการเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ต้องขังเสื้อแดง เพราะรัฐบาลที่มีพรรคเพ
หนุ่มเรดนนท์
ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทคว