Skip to main content

ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม

ตอนที่ 1: ชีวิตของป๋อง

เช้าวันนี้ก็เหมือนกับทุกวันนั่นแหละ ป๋อง และป้อมพี่ชายจะต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อตามเข้าไปช่วยแม่ที่เข้าป่าไปล่วงหน้าแล้ว วันนี้อากาศเย็นเหลือเกินเพราะเมื่อคืนฝนตกลงมาอย่างหนัก “เช้านี้คงมีเห็ดให้เก็บเยอะแน่นอน” ป๋องแอบคิดในใจ

แม่ของป๋องเพิ่งมาเริ่มอาชีพหาของขายได้ไม่นาน ด้วยความจำเป็น เพราะพ่อมาทิ้งแม่ไปเมื่อตอนป๋องอายุได้ 3 ขวบ ป๋องเองยังแทบจำพ่อไม่ได้เลย เพราะยังเด็กอยู่มาก อาชีพหาของป่าทำเงินได้ไม่มากนัก แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะหาเงินมาซื้อข้าวปลาเลี้ยงลูกทั้งสามคนของแม่ได้

“ป๋อง วันนี้กูไม่ไปนะ ขี้เกียจ กูเหนื่อย มึงไปคนเดียวเหอะ” ป้อมบอกน้องชายที่พยายามบอกให้ตื่นเพื่อออกไปช่วยแม่พร้อมกัน

ป๋องถอนหายใจ เฮ้อ อีแล้วหรอวะ “เออ กูไปคนเดียวก็ได้วะ” ว่าแล้วก็หยิบถุงปุ๋ยที่แม่เตรียมไว้สำหรับใส่ของป่า แล้วรีบเดินตามแม่ไปติดๆ

ป๋องเคยถามแม่ว่า ทำไมแม่ต้องมาหาของป่าด้วย ได้เงินนิดเดียวเอง ไม่รู้ทำไปทำไม ทำไมไม่ออกไปหาปลา ตกปลา เอาไปขาย น่าจะได้เงินมากกว่า แม่ตอบว่าแม่ตกปลา หาปลาไม่เป็นหลอก งานแบบนี้ผู้ชายเขาทำกัน ตอนพ่ออยู่เขาก็ตกปลาจับปลาขายเลี้ยงตัวเหมือนกันนั่นแหละ แต่พอพ่อไม่อยู่แม่ก็ทำไม่เป็น “ความจริงแม่ก็อยากทำ” แม่บอกกับป๋อง

เช้านี้ป๋องช่วยแม่เก็บเห็ดได้เยอะเลย เป็นเห็ดป่าดอกโตๆ ทั้งนั้น แล้วยังมีระโดน ผักคะแยงอีกหลายกำ ป๋องตื่นเต้นมาก เพราะรู้ว่าถ้าขายของพวกนี้ได้ บางทีแม่อาจจะใจดีซื้อไอติมเป็นรางวัลให้กับเขาเป็นก็ได้ แม่มักจะให้รางวัลกับเขาอยู่เสมอ เพราะอยากสอนให้เขารู้จักทำมาหากินตั้งแต่ตอนยังเด็ก

ป๋องเดินกลับบ้านอย่างมีความสุขกับไอติมแสนอร่อยที่แม่ซื้อให้ โดยมีป้อมนั่งมองอยู่ด้วยความอิจฉา แต่ไม่คิดจะแย่งน้องกินเพราะรู้ว่า ถ้าตัวเองไปช่วยแม่เขาก็จะได้ไอติมเหมือนกัน

พี่ปุ้ยพี่สาวคนโตหุงข้าวเสร็จแล้ว กำลังเตรียมตั้งโต๊ะเพื่อกินอาหารเช้า วันนี้นอกจากข้าวสารที่แม่นำของป่าไปแลกได้แล้ว ยังมีเงินเหลือซื้อไข่ไก่ กับปลาทูตัวใหญ่ๆ มาด้วย นานๆ พวกจะได้กินของอร่อยๆ แบบนี้กันซักที ช่างดีเสียจริง

แม่นั่งมองดูลูกทั้ง 3 คน กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความสุข แม้จะเหนื่อยแต่ก็สุขใจ วันไหนหาได้มากลูกกก็จะได้กินดีๆ แบบนี้ แต่บางทีก็หาไม่ได้เลย นี่แหละชีวิตของคนยากคนจนที่ยังมีอยู่อีกมากมายในประเทศนี้

นอกจากการเก็บของป่าแล้ว แม่ยังมีรายได้หลักอีกทางหนึ่ง นั่นคือการต้มเหล้าขาย อาชีพนี้คนทำกันเยอะ เพราะทำเงินได้ง่าย ทั้งที่ไม่ถูกกฎหมาย แต่ทำยังไงได้ เพราะแม่ไม่มีที่นาของตัวเอง ไม่มีทุนที่จะทำอะไรได้เลย แม้แต่บ้านที่อาศัยอยู่ก็ยังต้องเช่าเขา ป๋องกับป้อมรู้เรื่องนี้ดี แทบทุกวันหลังเลิกเรียน เขาทั้งสองไม่ได้ไปเล่นกับเพื่อนซักเท่าไร พวกเขาต้องเข้าไปช่วยแม่นึ่งข้าวเหนียวเพื่อทำเหล้า บางทีก็ต้องไปช่วยก่อไฟต้มเหล้า โดยมีป๋องเป็นเรี่ยวแรงหลักของแม่ ส่วนป้อมช่วยบ้างไม่ช่วยบ้าง

อาชีพต้มเหล้านี้เองที่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูลูกทั้ง 3 คนให้มีข้าวกิน มีเงินใช้ ได้เรียนหนังสือจนเติบใหญ่ได้ทุกคน เคยมีตำรวจมาจับแม่เหมือนกัน แม่ก็แค่ไปเสียค่าปรับที่โรงพัก กลับมาแล้วก็มาทำต่อ แม่บอกว่าไม่ใช่แม่ไม่เข็ด แต่ถ้าเลิกแล้วจะไปทำมาหากินอะไร ก็เหตุผลเดิมๆ นี่แหละที่ป๋องได้ยินมาโดยตลอด ด้วยความเข้าใจ และสงสารแม่ที่ต้องทำงานหนัก ป๋องจึงไม่เที่ยวเล่นแบบเด็กคนอื่น เวลาส่วนใหญ่จะอยู่กับแม่ ช่วยทำงานหาเงิน ผิดกับป้อมที่ไม่ชอบทำงานลำบาก และคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าน้อง มีความสามารถ สติปัญญาเหนือกว่า จนหลายคนมองว่าป้อมเอาเปรียบน้อง แต่ป้อมไม่สนใจ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง

แม่เคยตำหนิป้อมหลายครั้งที่ไม่ยอมช่วยงานแม่ ที่ปล่อยให้น้องช่วยทำงานอยู่คนเดียว แต่ป้อมกลับร้องไห้โวยวายกับแม่ หาว่าแม่เอาแต่ใจป๋อง รักแต่ป๋องคนเดียว และยังบอกอีกว่าคิดถึงพ่อ ถ้าพ่ออยู่ พ่อคงจะเข้าใจเขา และเข้าข้างเขาบ้าง ป้อมมีความคิดว่าแม่ไม่รักเขา รักแต่น้อง เขาอยากอยู่กับพ่อ ไม่อยากอยู่กับแม่เลย


ตอนที่ 2: ชกมวยช่วยแม่

หลังเรียนจบ ป.6 ที่โรงเรียนในหมู่บ้านแล้ว ป้อม และป๋องได้เข้าเรียนต่อ ม.1 ที่โรงเรียนในตัวอำเภอ โดยทั้งสองคนจะขี่จักรยานไปโรงเรียนกันเอง ระยะทางจากบ้านไปถึงโรงเรียนเกือบ 13 กิโล เขาต้องผลัดกันขี่คนละครึ่งทาง เพราะมีจักรยานเก่าๆ อยู่เพียงคันเดียว

ทั้งคู่ได้ค่าขนมติดตัวไปโรงเรียนกันคนละ 5 บาท ซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้ในแต่ละวัน สำหรับป๋องแล้ว เขาใช้เงินอย่างประหยัด มักจะมีเงินเหลือกลับบ้านไปคืนให้แม่เสมอ เพราะเขารู้ว่าแม่หาเงินมาลำบาก แต่แม่ก็ไม่เคยเอา ป๋องจึงใช้วิธีหยอดกระปุกแทน  และคิดอยู่ตลอดว่าจะเก็บเงินในกระปุกนี้ก็เอาไว้ให้แม่ เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ

ที่โรงเรียนใหม่ที่ป้อม และป๋องเข้ามาเรียน มีค่ายมวยชื่อดังตั้งอยู่หลังโรงเรียน และเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เข้าไปเรียน ป้อม และป๋องพอมีพื้นฐานการชกมวยอยู่บ้าง เพราะออกไปชกตามงานวัดอยู่บ่อยๆ ดังนั้นทั้งคู่จึงมองเห็นโอกาสที่จะหาค่าขนมด้วยตัวเอง โดยการชกมวย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หลังเลิกเรียนแล้วเขาทั้งคู่ก็ไปซ้อมมวยที่ค่ายมวยแห่งนั้น และมีโอกาสขึ้นชกตามงานต่างๆ จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากที่เคยชกได้ค่าตัว 200 – 300 บาท ก็ขยับค่าตัวเพิ่มขึ้นเป็น 600 – 700 บาท จนกลายเป็นพันบาทต่อครั้ง

แม้ทั้งคู่จะเริ่มชกมวยพร้อมกัน ป้อมมีฝีมือชั้นเชิงมวยดีกว่า แต่ใจไม่สู้ จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ต่างจากป๋องที่ฝีมือจะด้อยกว่า แต่ใจสู้ และดุดัน เลยทำให้ป๋องได้ค่าตัวดีกว่า เหตุนี้ป้อมจึงตัดสินใจหยุดชกมวย เพราะอายที่สู้น้องไม่ได้ และเบนเข็มชีวิตตัวเองไปเล่นดนตรีร้องเพลงแทน ซึ่งป้อมก็ทำได้ดีทีเดียว

รายได้จากการจากการชกมวยของป๋อง เขาจะแบ่งให้แม่เพื่อเอาไว้ใช้จ่าย เขามุ่งมั่นในการชกมวยมาก ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ และเป็นนักชกฝีมือดีลำดับต้นๆ ของค่ายมวย จนเวลาผ่านไป ช่วงที่เขาจะจบ ม.3 และกำลังจะต่อชั้น ม.4 ป๋องเริ่มรู้สึกว่า เขาชกมวยไม่ไหว แม้จะเป็นสิ่งที่รักที่ชอบก็ตาม มันทำให้เขาบอบช้ำอยู่เหมือนกัน อีกทั้งเขาเริ่มเป็นมวยรุ่นใหญ่ขึ้น การฝึกจึงหนักมาก ป๋องหนีฝึกบ่อย ภาษามวยเรียกว่า "แหกค่าย" ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเลิกชก แล้วก็เลิกเรียนต่อ ม.4 และตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำตามพี่สาวที่เข้ากรุงเทพฯ ไปก่อนหน้าเขาหลายปี ส่วนป้อมที่คิดว่าหัวดีกว่า ฉลาดกว่า เลือกที่จะเรียนต่อให้จบชั้น ม.6 ทั้งสองคนจึงแยกจากกันในระยะเวลาสั้นๆ ณ จุดนี้

ตอนที่ 3: เข้ากรุงเทพฯ.. ก่อร่างสร้างตัว

เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ป๋องได้ทำงานที่บริษัทนมชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยคำแนะนำของเพื่อนในหมู่บ้าน ที่รู้จักกับพนักงานขายของบริษัทนี้ เขาได้ทำงานในตำแหน่งเด็กติดรถส่งนม งานของเขาคือการนำนมไปส่งตามห้างร้านต่างๆ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นงานหนักอะไร เงินเดือนก็พออยู่ได้ สบายๆ และเมื่อทำมาได้สองปีเศษๆ ก็ตามมาอยู่ด้วย เพราะเรียนจบพอดี

ป้อมได้เริ่มทำงานที่บริษัทเดียวกับที่ป๋องทำงานอยู่ ซึ่งป๋องเป็นผู้แนะนำให้ได้งานในตำแหน่งที่ดีกว่าเพราะพี่ชาย มีวุฒิสูงกว่า คือ ม.6 จึงได้ทำงานอยู่ในห้าง ด้วยจำแหน่งพีซี ทำงานห้องแอร์ คอยจัดนมขึ้นชั้น นับเป็นงานที่สบายกว่าป๋องมาก ทั้งสองคนพักอยู่ในบ้านเดียวกัน และแชร์ค่าห้องกัน ต่างคนต่างทำงานหาเงินที่รายได้พอเลี้ยงตัวได้ ป๋องเองเลือกที่จะส่งเงินบางส่วนจากเงินเดือน กลับไปให้แม่ที่อยู่ต่างจังหวัด ส่วนป้อมเลือกที่จะเอาเงินที่หามาได้ส่งตัวเองเรียนปริญญาตรีต่อ เพราะมีเป้าหมายที่จะเข้าสู่เส้นทางนักร้องลุกทุ่งที่ใฝ่ฝัน เส้นทางศิลปินของป้อมดูจะไปได้สวย มีค่ายเพลงเล็กๆ มาขอเซ็นสัญญา ซึ่งเขาทุ่มเทการทำงานอย่างจริงจัง จนกระทั่งมีอัลบั้มเป็นของตัวเองได้สำเร็จ

ส่วนป๋องน้องชายเขา ยังทำงานอยู่บริษัทเดิม และได้พบแฟนสาวที่ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน ทั้งสองช่วยกันทำงานเก็บเงินเพื่อสร้างครอบครัวจนสามารถซื้อรถกระบะเล็กๆ เป็นของตัวเองได้ เมื่อมีรถ ป๋องกับแฟนก็มีภาระมากขึ้น พวกเขาจึงคิดว่าอยากจะหาอะไรทำเพื่อให้มีรายได้พอกับค่าใช้จ่ายก้อนโต แต่พวกเขาจะทำอะไรดีล่ะ

ตอนที่ 4: จากลูกจ้างบริษัท..ก้าวสู่เจ้าของธุรกิจ

ป๋องใช้เวลาอยู่หลายเดือน กว่าจะพบว่าควรทำอะไรดี คำตอบมาอยู่ที่การทำน้ำยาล้างรถ เพราะได้สูตรผสมน้ำยามาจากเพื่อนคนหนึ่งของเขา และเห็นว่าลงทุนไม่มาก โอกาสเสี่ยงน้อย นี่คือโอกาสที่เขาจะได้เป็นอิสระจากงานประจำที่น่าเบื่อจำเจเสียที นิด แฟนของเขาก็เห็นดีด้วย ป๋องจึงลาออกจากงาน เพื่อมาทำธุรกิจน้ำยาล้างรถในทันที

ป๋องย้ายจากบ้านเช่าที่เคยอยู่ร่วมกับป้อม มาอยู่บ้านหลังใหม่ที่มีบริเวณบ้านในการผลิตสินค้า เขาทำเองหมดทุกอย่าง ผลิตเอง ขายเอง เก็บเงินเอง เดือนแรกก็พอจะขายได้ แล้วก็ขายดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความขยันอดทนของเขา กิจการจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จากที่มีเพียงน้ำยาล้างรถก็ทำน้ำยาเคลือบรถ น้ำยาเช็ดกระจก สร้างรายได้ให้กับป๋องเป็นกอบเป็นกำ จนทำแทบไม่ไหวเพราะทำคนเดียว นิดแฟนเขายังไม่อยากลาออกจากบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ป๋องจึงของร้องให้น้องชายของ นิด ชื่อ น๊อต มาช่วยงานอีกแรง

ถึงแม้จะมีคนมาช่วยแบ่งเบาเพิ่มขึ้นอีก 1 คน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ ป๋องจึงคิดว่าจะทำยังไงดีที่จะทำให้กิจการของเขาสามารถผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้ทัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจำเป็นต้องหาคนมาช่วยในหน้าที่อื่นๆ อีก ซึ่งเขาคิดถึงคนที่อยู่ใกล้ตัวอีกคน นั่นคือพี่ชาย เพราะรู้ว่าอาชีพร้องเพลงของป้อม ไม่ได้ทำรายได้ให้น่าพอใจเท่าไร แม้จะมีเงินเดินสายขึ้นเวทีไปที่ต่างๆ แต่นั่นก็ไปเพื่อโปรโมทเพลง ไม่มีค่าตอบแทน ไม่สร้างรายได้มากนัก ป๋องจึงคิดจะดึงป้อมเข้ามาร่วมงาน โดยหวังว่าจะให้มาช่วยงานด้านบัญชี และคอมพิวเตอร์ ด้านเอกสารต่างๆ และที่สำคัญคือไว้ใจได้เพราะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาเอง

ทันทีที่ป๋องติดต่อไป ป้อมก็ตอบตกลงในทันที เมื่อได้พี่ชายมาช่วยแล้ว ป๋องจึงใช้โอกาสนี้ในการยกระดับกิจการให้ใหญ่ขึ้นไปอีก ด้วยการชวนเพื่อนชื่อ เบิร์ด มาร่วมลงทุนลงแรงเพิ่มอีก 1 คน เป็นเพื่อนที่ทำงานที่บริษัทนมมาด้วยกัน เขาเป็นคนขยัน และที่สำคัญ ชอบงานขายเหมือนป๋อง และเมื่อทุกอย่างพร้อม ก็ถึงเวลาที่พวกเขาทั้งสาม จะร่วมมือกัน นำพากิจการเล็กๆ นี้ไปสู่ความสำเร็จ

โปรดติดตามตอนต่อไป

บล็อกของ หนุ่มเรดนนท์

หนุ่มเรดนนท์
วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช.
หนุ่มเรดนนท์
ช่วงนี้ ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน ได้โพสต์เรื่องราว เกี่ยวกับ "ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์" ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่โดน คสช.
หนุ่มเรดนนท์
หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมี
หนุ่มเรดนนท์
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด
หนุ่มเรดนนท์
 
หนุ่มเรดนนท์
“ถ้าผมรู้ว่าอากงจะจากไปเร็วอย่างนี้ ผมคงจะดูแลอากงให้ดีกว่านี้” ผมยังจำได้ไม่มีวันลืม เพราะคำพูดนี้ ผมได้พูดกับทนายอานนท์ นำภ
หนุ่มเรดนนท์
นับจากที่ผมได้เข้ามอบตัวต่อศาลอาญารัชดา เพื่อต้องการที่จะต่อสู้คดีตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 จนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ 11 และผมก็ได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีตามสิทธิขั้นพื้นฐานรวมแล้วก็ 6 ครั้ง และได้รับการ
หนุ่มเรดนนท์
เป็น เดือนที่ 5 แล้วสำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำแห่งนี้ของผม หลังจากที่ครบ 4 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้นับเป็นสัปดาห์ที่สำคัญที่สุดสัปดาห์หนึ่งของการเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ต้องขังเสื้อแดง เพราะรัฐบาลที่มีพรรคเพ
หนุ่มเรดนนท์
ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทคว