Skip to main content



ในที่สุด
, ผมก็พาตัวเองกลับคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง

หลังจากโชคชะตาชักชวนชีวิตลงไปอยู่ในโลกของเมืองตั้งหลายขวบปี

การกลับบ้านครั้งนี้ ผมกะเอาไว้ว่า จะขอกลับไปพำนักอย่างถาวร

หลังจากชีวิตเกือบค่อนนั้นระหกระเหินเดินทางไปหลายหนแห่ง

ผ่านทุ่งนา ภูเขา แม่น้ำ ทางป่า ถนนเมือง...

จนทำให้บ้านเกิดนั้นเป็นเพียงคนรู้จักที่ไม่คุ้นเคย

เป็นเหมือนโรงเตี๊ยมพักผ่อนชั่วคราวก่อนออกเดินทางไกล

อย่างไรก็ตามได้อะไรมากและหลากหลาย...

สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่,ชีวิต
การกลับบ้านเกิดหนนี้, เหมือนกับว่าไปเริ่มสู่จุดเริ่มต้นและก่อเกิด

ผมบอกกับหลายคนว่ากำลังเกิดใหม่เป็นหนที่สาม
จากบ้านเกิด เข้ามาเรียนในเวียง ระเหเร่ร่อน เรียนรู้กับความกร้าน

ทั้งดีและเลวทรามอย่างสุดๆ ทำงานแบกเหล็ก พนักงานเก็บเงิน ยามโรงแรม

เป็นครูอาสาเดินสอน,ผลิตสื่อโรงเรียนกาวิละอนุกูล,ครูพี่เลี้ยงเด็กตาบอด ฯลฯ
ก่อนตัดสินใจขึ้นไปเป็นครูดอยทำงานอยู่กลางป่านับสิบปี
ก่อนตัดสินใจลงมาทำงานในโลกของไซเบอร์

ได้สัมผัสเรียนรู้กับโลกสื่อสารมวลชน คนข่าว ทั้งเสรีและคับแคบ

โลกของสังคมอันสับสนอลหม่านและซับซ้อน

โลกของการเมือง อันกระอักกระอ่วน เน่าเหม็นและทับซ้อน

โลกของมิตรแท้และศัตรูชั่วคราวและถาวร
กระนั้น ก็เป็นสิ่งที่เรามิอาจหลีกเลี่ยงมันได้เลย

ทำให้นึกไปถึงถ้อยคำของ ‘วีระศักดิ์ ยอดระบำ’

ที่บอกเล่าถึง ‘หนทาง’ ที่ชัดเจน

การเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ในสนามแห่งความจริง

ทำให้คนเราต้องเผชิญหน้ากับตัวเองและสังคม”











มาวันนี้, ผมได้ตัดสินใจกลับคืนสู่วิถีธรรมชาติอีกครั้ง- -ชีวิต
กลับไปเป็นคนสวนเล็กๆ พร้อมๆ กับเป็นคนเขียนหนังสือ
ผมกำลังเกิดใหม่เป็นหนที่สาม...” ผมบอกกับตัวเอง

แต่มีมิ่งมิตรบอกว่าไม่น่าจะใช่การเกิดใหม่หรอก

มันเป็นเพียงการรีเซ็ตปุ่มชีวิตตัวเองมากกว่า
และยังบอกอีกว่า บางครั้งก็อยากให้ชีวิตมันเหมือนเกม

ที่เราจะชนะหรือแพ้สักกี่ครั้งก็ได้
เพราะเรารู้ว่าถ้าเป็นเกม มันจะเริ่มใหม่ได้ตลอดเวลา!?

อีกคนหนึ่งบอกผมว่า “น่าจะเรียกว่าลอกคราบดีกว่ามั๊ย
เป็นคนเดิมแต่เริ่มใหม่!?”

กระนั้น, ในห้วงยามนี้ ผมรู้สึกว่าชีวิตผมเป็นสุข ปลอดโปร่งโล่งใจมากยิ่งขึ้น

วันๆ ไม่ต้องครุ่นคิดอะไรให้มากและกว้างไกลไปกว่า

ขลุกอยู่ในสวน ปลูกต้นไม้ เหนื่อย ตัวเปียกปอนด้วยเหงื่อและฝน

ทว่าชีวิตสดชื่นรื่นรมย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พักงานสวน- - กลับมานั่งอยู่ในห้องทำงาน

ลงมือเขียนหนังสือ จดจ้องมองชาวนา ทุ่งนา ท้องฟ้า ภูเขา ผ่านช่องหน้าต่างกระจกใส

ก่อนส่งสารถ้อยคำออกไปผ่านสัญญาณอินเตอร์เนตดาวเทียม

มันช่างเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจกระไรเช่นนี้!!

ในขณะชีวิต ตัวตนพำนักอยู่ในหุบเขา

ทว่าปล่อยให้ตัวหนังสือ ถ้อยคำเดินทางล่องลอยไปตามคลื่นแห่งโลก

ไปบอกเล่าเรื่องราวมากมายทักทายผู้คนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง...

เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า...

ชีวิตนี้...โลกนี้ คือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเสียยิ่งนัก!!


หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พลเมืองเหนือรายสัปดาห์ 15 ..51


บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...