Skip to main content

















(
๗๒)

ข้าหลงใหลสวนผักหลังบ้าน
มากพอกับหลงใหลถ้อยคำ
ที่ข้าหว่านเพาะรอวันงอกงาม

 

(๗๓)

คนสวนกับคนเขียนหนังสือถกเถียงกันชีวิตคืออะไร

คนหนึ่งบอกชีวิตคือการดูแลเอาใจใส่

อีกคนบอกว่าชีวิตคือการฝึกฝนเรียนรู้

 

(๗๔)

ข้ารู้สึกเศร้าที่ใครต่อใครเข้าใจผิด

คิดว่าถ้อยคำนั้นคือสิ่งของที่ผลิตออกมาจากโรงงาน

จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วมันคือจิตวิญญาณที่มาจากชีวิต

 

(๗๕)

ในขณะที่หลายคนท่องไปในโลกกว้าง

หากหลายคนจ่อมจมอยู่ในกรงกรอบอันคับแคบ

อีกทั้งยอมทิ้งตัวลงไปในห้วงรู้สึกอันดำมืด

 

(๗๖)

อากาศหนาวเย็นยะเยียบ

คนกรุงชื่นชอบและหลงรักมัน

แต่ไส้เดือนดอยนั้นนอนแข็งตาย

 

(๗๗)

คนกรุงหลงรักลมหนาว

เหมือนหญิงสาวหลงรักดอกไม้บาน

แต่ผู้เฒ่าบนภูเขาหวาดหวั่นสั่นไหว

 

(๗๘)
ข้าเพิ่งรู้ ต้นไม้
นิสัยเหมือน
คน

 

(๗๙)

ในผืนแผ่นดินโลก

ยังมีอีกมากมายที่ข้าไม่รู้

ชีวิตคือความลี้ลับ

 

(๘๐)

หยิบกล้วยหวีใหญ่กับลูกมะละกอสุก

ใส่ตะกร้าไม้ไผ่

ไว้รอแขกมาเยือน

 

(๘๑)

ข้าหลงรัก

ดวงตะวันหน้าหนาว

พอพอกับแมวที่หลงรักแดดเช้า

 

(๘๒)

เหลนวัยขวบกว่าพาความอ่อนหวานมาเยือนแต่เช้า

หอมเสียงใสๆ ยังไม่ชัดถ้อยชัดคำโชยมาแต่ไกล

ร้องเรียกปู่...ปู่ ก่อนนั่งหน้าระเบียงไม้ไผ่

 

(๘๓)

เธอนั่งใกล้ๆ เจ้าแมวเหมียว

มือน้อยน้อยลูบคลำขนนุ่มของมันช้าช้า

ปากก็พึมพำพึมพำร้องหมาวหมาว

 

(๘๔)

ความอ่อนเยาว์เผยโฉมอยู่ตรงหน้า

ฟังเสียงเด็กน้อยพูดคุยกับแมว

เหมือนจะสื่อสารกันรู้เรื่อง

 

(๘๕)

แดดอาบไล้ใบหน้า ข้านั่งจิบกาแฟ

บิขนมปังแบ่งให้เด็กน้อยกับแมว

เรากำลังกินขนมปังแผ่นเดียวกัน

 

(๘๖)

ความบริสุทธิ์ของเด็กน้อยกับแมว

ทำให้ข้ารู้ว่าแท้จริงความสุขนั้น

ไม่ได้อยู่ไหนไกลเลย

 

(๘๗)

โลกของข้ายามนี้

ไม่ว่าคน ต้นไม้ สรรพสัตว์

นั้นต่างส่งสัญญาณเชื่อมโยงถึงกัน

 

(๘๘)

ข้านั่งฟังพ่อเฒ่าบอกเล่าตำนาน

ถนนที่เราเดินเข้าออกในหมู่บ้าน

ก่อนนั้นเป็นทางเดินของเสือ

 

(๘๙)

คืนนี้ข้าเขียนบทกวีงานศพ

ให้กับเด็กหญิงวัยสิบสองของหมู่บ้าน

ซ้อนมอเตอร์ไซค์ล้มฟาดกับขอบสะพาน

 

(๙๐)

หันไปเปิดโทรทัศน์ดูข่าวค่ำ

ความบ้าคลั่งกำลังกราดยิงไปทั่วทุกมุมโลก

ทำให้ข้าเริ่มเชื่อแล้วว่ามนุษย์คือสิ่งชั่วร้าย

 

(๙๑)

หูข้าอื้ออึง นัยน์ตาข้าฝ้าฟาง

มองอะไรไม่เห็น

อยู่ตรงไหนเล่าแผ่นดินศานติ

 

(๙๒)

เธอบอกฉันว่า

สถานการณ์ตอนนี้ต้องระวังตัว

เราต่างอยู่ในดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจ

 

(๙๓)

เธอบอกอีกว่าในห้วงขณะนี้

ต่างฝ่ายต่างหวาดระแวง หวาดกลัว

กลัวถูกทำร้าย กลัวถูกหักหลัง

 

(๙๔)

ข้ารู้ บาดแผลร้ายนั้นเรื้อรังยากเกินเยียวยา
ความไม่ไว้ใจ ความเกลียดชังคลั่งบ้า
จึงระอุคุกรุ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

(๙๕)

ณ ดินแดนแห่งความขัดแย้งแบบไร้สติเช่นนี้

ประชาชนไม่มีวันจะกำชัยหรอก

มีแต่พ่ายแพ้ บาดเจ็บและล้มตาย

 

(๙๖)

หรือว่าเรากำลังอยู่บนโลกที่ใกล้ผุพัง
สันติสุขจึงแหว่งวิ่น

เมตตาธรรมจึงสูญหาย

 

(๙๗)

หรือว่าแผ่นดินผืนนี้กำลังใกล้ล่มสลาย
พระเจ้าหลายหลายองค์จึงพากันเร้นหลบหนี
ปล่อยให้เหล่าปวงปีศาจกรีดกรายเต้นยั่ว

 

(๙๘)

ข้าเริ่มสับสน

และแยกแยะไม่ออกแล้วว่า

นั่นฝูงคนหรือฝูงสัตว์


(
๙๙)

เธอบอกว่าไม่มีอะไรจะชั่วร้ายเท่ามนุษย์อีกแล้ว

มนุษย์เป็นสัตว์ที่ล่าฆ่ากันเอง

ไม่ใช่เพื่อยังชีพเหมือนสัตว์อื่นๆ

 

(๑๐๐)

มองเห็นไหมนั่นความกระหาย ความชั่วร้าย

กำลังกางปีกคลี่คลุมหัวใจผู้คน

ให้มืดมน มืดดำ

 

(๑๐๑)

ข้ารู้สึกกลัว

เมื่อมนุษย์มองมนุษย์เป็นเพียงวัตถุสิ่งของ

ที่สามารถทุบทำลายทิ้งได้

 

(๑๐๒)

ใกล้สางข้าฝันเห็น

หัวใจคนเรานั้นมี
สีดำ

 

(๑๐๓)

วันนี้ข้ามองเห็นสัตว์การเมือง

กำลังกลายร่างเปลี่ยนบท

ละครฉากใหม่กำลังเริ่มต้นอีกแล้ว


บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...