Skip to main content













(๑๐๔)

เธอหว่านกล้า

ข้าหว่านฝัน

จินตนาการ


(๑๐๕)

การเริ่มต้นจากสิ่งที่เรารัก

นั่นแหละคือ

การสร้างสรรค์


(๑๐๖)

คำพรจากพี่ชายผ่านโลกไซเบอร์

สู่ปีใหม่ให้สุขภาพดีพร้อมทำงาน 

จินตนาการย่อยไฟฝันสู่พลังอักษร


(๑๐๗)

ข้าอวยพรกลับไป

ขอให้มีทางสว่างไสวในท่ามกลางโลก จักรวาล

ที่เปลี่ยนไปทุกชั่วขณะลมหายใจ


(๑๐๘)

หยิบฝักแห้งของกระเจี๊ยบออกมา

ค่อยๆ เคาะเมล็ดพันธุ์ลงในอุ้งมือ

แล้วเรียงเมล็ดนับช้าๆ


(๑๐๙)

ข้าเพิ่งรู้ว่าในหนึ่งฝัก

ของดอกกระเจี๊ยบนั้น

มีเมล็ดทั้งหมดถึงยี่สิบห้าเมล็ด


(๑๑๐)

25 เมล็ดพันธุ์จะกลายเป็น 25 ชีวิต

บ่มเพาะกล้ารอวันเติบใหญ่

หลังฝนฤดูมาเยือน


(๑๑๑)

ทำให้ข้ารู้งานสวน

เป็นการบ่มเพาะชีวิตหลายชีวิต

ให้หยัดร่างอยู่ในผืนดินโลกใบนี้


(๑๑๒)

อีกบ่ายข้าถือมีดเสียมไปขุดเหง้าผักกูด

ริมลำน้ำเหนือหมู่บ้าน

มาปลูกริมหน้าต่างห้องครัว


(๑๑๓)

เจอกิ่งวาสนาถูกชาวบ้านตัดทิ้ง

กองสุมๆในกองขยะของหมู่บ้าน

รากออกเต็มกิ่งนอนติดดิน มันยังไม่ตาย

 

(๑๑๔)

ข้าชักชวนวาสนาไปอยู่บ้านสวน

นี่อาจเป็นอีกหนึ่งชีวิต

ที่เกิดใหม่อีกครั้ง


(๑๑๕)

ข้าปลูกวาสนาไว้ติดระเบียงไม้ไผ่

ถ้ามันพูดได้ มันคงยินดีมีสุขกับชีวิตตรงนี้

มากกว่าถูกทิ้งขว้างอยู่ในกองขยะ


(๑๑๖)

เช้านี้ข้าเริ่มลงมืออ่าน ‘วอลเดน’

ท่องคำประโยคหนึ่งขึ้นมาจับใจ

เหตุใดเราจึงอยู่ด้วยความรีบร้อนและสูญเปล่าแห่งชีวิตเยี่ยงนั้น?”


(
๑๑๗)

พี่ชายนักเขียนบอกว่าวอลเดนน่าอ่านมากแม้จะย้อนยุคไปร้อยปี

แต่ดูเหมือนว่าโลกชีวิตยังไม่เคลื่อนไหวไปไหนไกลเลย
ซ้ำร้ายธรรมชาติก็เรียงหน้ากันป่นปี้


(๑๑๘)

วันนี้ข้าบ่น

กับตัวเอง

เขียนงานได้ไม่กี่บรรทัด


(๑๑๙)

ใช้สายตานานจนแสบตา

ปิดจอคอมพิวเตอร์ เดินออกไปนอกห้อง

มองทุ่งนากลับเต็มด้วยควันไฟไหม้ฟาง


(๑๒๐)

มองออกไปนอกหน้าต่าง

ดอกหญ้าสวนข้างบ้าน

แอบป่ายปีนรั้วข้ามมาทักทาย


(๑๒๑)

ยืนอยู่บนระเบียงไม้ไผ่

มองไกลลิบลิบกลางทุ่ง

เห็นคนตัวเท่ามดกำลังเคลื่อนไหวช้าช้า


(๑๒๒)

อ๋อนั่นชาวนา

กำลังก้มก้มเงยเงย

หยอดเมล็ดถั่วเหลืองลงหลุมที่กระทุ้งด้วยลำไม้


(๑๒๓)

การเดินทาง
ทำให้เรามีพลัง
และสร้างสีสันให้กับชีวิต  

(๑๒๔)

นี่คือของขวัญ

ที่ธรรมชาติมอบให้ข้า

สามัญ ความงาม และความจริง

 


หมายเหตุ
: ‘
วอลเดน’ เฮนรี่ เดวิด ธอโร เขียน, สุริยฉัตร ชัยมงคล แปล, สนพ.คบไฟ พิมพ์ 2534



บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...