Skip to main content

 
ที่มาภาพ : www.thaioctober.com/forum/index.php?topic=308.105

เมื่อเราพูดถึงเรื่อง การพัฒนาและความเจริญ ที่คนส่วนใหญ่ต่างมุ่งไปทางนั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา และมันกำลังรุกคืบคลานเข้ามาในวิถีบนบ้านป่าบ้านดอยอย่างต่อเนื่อง

"ก็ดีๆ หมดนั่นแหละ แต่จะถูกหรือบ่ถูกนั้นบ่ฮู้ ต้องมันเกิดเสียก่อนจึงจะฮู้"พ้อเลป่า รำพึงในความเปลี่ยน ผมจ้องมองในดวงตาของพ่อเฒ่ารื้นชื้นด้วยน้ำใสๆ

พ่อเฒ่าหยิบกล้องยาสูบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มืออันเหี่ยวย่นล้วงหยิบยาสูบในถุง เอายาสูบยัดใส่กล้อง ผมจุดไฟให้ พ่อเฒ่านั่งชันเข่าสูบยา ปล่อยให้ควันยาลอยอ้อยอิ่งก่อนจางหายพร้อมกับความคิดคำนึง
"เพราะคนส่วนใหญ่ชอบใช้ชีวิตอยู่ด้วยตากับหูแต่บ่ใช้ใจ"

ผมนิ่งฟังและครุ่นคิดเงียบงันในคำพูดนั้น ก่อนพ่อเฒ่าจะอธิบายให้หูตาสว่างกระจ่างแจ้ง

"คนเฮา ถ้าใช้หูมากนักล้ำไป ทำให้เฮาเกิดความอยาก ความบ่ฮู้จักพอ  คิดจะทำอะไรบ่ค่อยได้ใช้ใจตรองดูเสียก่อน กว่าจะฮู้ มันก็ทำลายชีวิตเฮาหมดเลย"

จริงสิ เราชอบใช้หูใช้ตามากเกินไป กิเลส ความไม่รู้จักพอจึงพอกพูนไปทั่ว หากไม่รู้จักหยุดจักยั้งใจไว้บ้าง อยากได้โน่นอยากได้นี่ สร้างโน่นสร้างนี่ อยากกอบโกย และครอบครองทุกสิ่ง แม้กระทั่งธรรมชาติ

ครั้นเมื่อความมืดเข้าคลี่คลุมหมู่บ้าน
ธรรมชาติยามค่ำคืนก็เริ่มฉายภาพความงามให้มองเห็น เด่นตาเด่นใจ

โน่น เดือนเสี้ยวเริ่มทอแสง ดวงดาวผุดพรายกระพริบวิบวาว สุกใสกลางฟ้า กิ่งไม้โยกไกวไหวไปไหวมา หอมกลิ่นดอกกาแฟ ยามลมภูเขาพัดโชยระรื่นชื่นเย็น แหละนั่นหิ่งห้อยวิบวับวับแวมไปมาไม่อยู่นิ่ง บางตัวเหมือนพยายามจะพาตัวเองบินขึ้นสู่ที่สูง และเมื่อทุกคืนเงียบนิ่ง จักยินเสียงฮอก กระดึงวัวดังก๊องแก๊งๆ ประสานเสียงแมลงกลางคืนสอดรับกัน คล้ายวงมโหรีแห่งดงดอยบรรเลงขับขาน

พีหน่อตึ๊รี แม่เฒ่าคู่ชีวิตของพ้อเลป่าสาละวนอยู่ในครัวไฟ ตะโกนเรียกให้พวกเรากินข้าวกันได้แล้ว

เรานั่งอยู่ตรงนี้ ล้อมวงกันอยู่นอกระเบียงบ้านหลังเล็กๆ ตะเกียงดวงเดียวในบ้านถูกจุดสว่างทอแสงวอมแวม สาดส่องใบหน้าทุกคนนั้นเป็นสีเหลืองอบอุ่นและเปี่ยมสุข

กลางวงนั้นมี "ถาดไม้เก่อหม่า" ถาดไม้โบราณใส่ข้าวสุกข้าวไร่จนพูนเต็ม กับข้าวมื้อนี้ช่างเอร็ดอร่อยและเรียบง่าย แกง "หน่อย" หรือมันป่าใส่เนื้อหมู แกงผักกูด แหนมเนื้อเก้งจิ้มพริกเกลือ พ่อเฒ่าบอกว่า ชาวบ้านเขาไปหามาและแบ่งปันให้

ผมจ้องมอง ของใช้คู่กายของพ้อเลป่าด้วยความสนใจ นอกจากกล้องยาสูบแล้ว ยังมีช้อนไม้ไผ่ที่ตัดกระบองให้เฉียง มีกิ่งโค้งยาวงอเป็นด้ามจับ เวลาจะตัก พ่อเฒ่าจะค่อยๆ ช้อนข้าวที่วางกองในถาดไม้นั้น เหมือนกับอะไรหนอ เหมือนกับอะไรหนอ ผมพูดกับตัวเอง

"เอ้า! หมู่เฮากินข้าวกันได้แล้ว ส่วนผมกำลังใช้แบคโฮตักข้าวบนดอยแล้ว.."พ้อเลป่ามักพูดด้วยอารมณ์ขัน อารมณ์ดี กับทุกคนที่มาเยี่ยมเยือน

"พ้อเลป่า อ่อเม เด้อหน่อเทอกวาบอ
พ้อเลป่า กินข้าว ด้วยช้อนไม้ไผ่.."
เพื่อนคนหนึ่งพูด พึมพำ พึมพำไปมา ..เหมือนกับกำลังท่องจำไว้ไม่ให้ลืมเลือน

หมายเหตุ : ผมหยิบงานที่ผมเขียนถึง พ้อเลป่า' ปราชญ์ปกากะญอขึ้นมานำเสนออีกครั้ง หลังทราบข่าวจาก หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง' ว่า พ้อเลป่า' เสียชีวิตอย่างสงบแล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

ดูภาพเล่าเรื่อง... ประตูสุดท้าย "พ้อเลป่า" ทอดร่างนิ่งสงบอยู่กลางป่า ในคอลัมน์การเดินทางของนักรบที่ไม่มีใครรู้จัก http://blogazine.prachatai.com/user/chonklumnoi/

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
  จู่ๆ คุณก็รู้สึกเหนื่อยเพลีย ข้างในเหมือนว่างโหวง ไม่สดชื่นรื่นรมย์เหมือนแต่ก่อน มือเท้าชา ร่างกายอ่อนแรง สมองมึนงง คิดโน่นลืมนี่อยู่อย่างนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณก็หลีกหนีห่างจากเมืองอันสับสน ไกลจากผู้คนของความอึงอล มาอยู่ในหุบเขาสงบเงียบแบบนี้  
ภู เชียงดาว
  1.
ภู เชียงดาว
-1- หลังการเก็บเกี่ยวข้าว นวดข้าว ขนข้าวมาเก็บไว้ในหลอง(ยุ้งฉาง)ของชาวนา ไม่นาน ท้องทุ่งเบื้องล่างก็ดูเปิดโล่ง มองไปไกลๆ จะเห็นตอซังข้าว กับกองฟางสูงใหญ่กองอยู่ตรงนั้น ตรงโน้น กระนั้น ท้องทุ่งก็ไม่เคยหยุดนิ่ง มันมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เท่าที่เขาเฝ้าดู ในหน้าแล้ง หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว คนเลี้ยงวัวประจำหมู่บ้านคงมีความสุขกันถ้วนหน้า พวกเขารู้ดีว่าจะทำอย่างไงหลังจากชาวนาขนข้าวขึ้นหลองเสร็จเรียบร้อย คนเลี้ยงวัวจะรีบปล่อยฝูงวัวสีขาวสีแดงหลายสิบตัวลงไปในทุ่งโดยไม่ต้องบอกเจ้าของนา ไม่มีใครว่า ปล่อยให้มันเล็มยอดอ่อนจากตอซังข้าว บ้างก้มเคี้ยวเศษฟางข้าว…
ภู เชียงดาว
เกือบค่อนปีที่ข้าตัดสินใจหันหลังให้กับใบหน้าของเมืองใหญ่ มุดออกมาจากกล่องของความหยาบ แออัดและหมักหมม ถอยห่างออกมาจากความแปลก แยกออกมาจากความเปลี่ยน สลัดคราบมนุษย์เงินเดือน สลัดความเครียดที่สะสม สลัดทิ้งซึ่งพันธนาการ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน และความโลภ ที่นับวันยิ่งพอกพูนสุมหัวใจข้า - - กระชาก ขว้างทิ้งมันไว้ตรงนั้น อา,ทุกอย่างช่างหน่วงหนักและเหน็ดหน่าย - -ย้อนถามตัวตน ข้าระเหระหนเดินทางมาไกลและแบกรับสัมภาระมากเกินไปแล้ว !