คือคนที่อยู่ป่า
ป่าทั้งป่าเหมือนกำลังร่ำร้องบทเพลงเศร้า ลมหอบเอาความเคว้งคว้างมาสู่หัวใจเหงา ช่างโศกวังเวงยามยินเสียงแมลงไพรกรีดครวญหวนไห้ หยาดน้ำจากตาข้ารินไหลอาบแก้มเกรอะกรัง ข้าคุกเข่าอยู่ริมหลุมฝังศพพ่อ บนเนินเขาเหนือหมู่บ้านกลางป่าลึก เถาวัลย์ทอดเลื้อยรกแผ่คลุมไปทั่ว ดอกไม้ที่ข้าเคยปลูกไว้รายรอบนั้นเหี่ยวแห้งเฉา
ข้ารู้,ว่าพ่อคงเสียใจ หากข้าไม่อาจยุดยื้ออำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ แผ่นดินถิ่นเกิดที่เคยสงบ สันติ และอิสระ พลันสั่นสะเทือนด้วยบทบัญญัติที่ถูกจำกัดสิทธิ์ สิ่งที่พี่น้องของข้าร่วมต่อสู้มาเนิ่นนาน กลับกลายเป็นเพียงสัญญาความว่างเปล่า!? เมื่อพวกท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า…ไม่ไว้ใจ!!
โอ.ข้ารู้,เพราะหัวใจท่านมิได้ถูกปลดปล่อย ความคิดจึงคับแคบอยู่ในกรอบของความระแวงสงสัย เพราะวิถีชีวิตท่านอยู่แต่ในเมืองแห่งอำนาจ ท่านจึงมองเห็นคนป่าคนไพรคือตัวปัญหา คือคนชายขอบที่พวกท่านมิอาจมองเห็น ดวงตาท่านหลับสนิท หัวใจคุณมืดมิด คิด-คิด-คิดอยู่ในความคิดของตัวเอง
ท่านไม่อาจตัดแยกวิญญาณของเราให้ขาดลงได้ แผ่นดิน ภูเขา ป่าไม้ สายน้ำ และชนเผ่า เป็นเช่นดั่งญาติมิตรเกื้อกูลผูกพันกันแนบแน่น ใครบ้างเล่า,ไม่รู้จักความเจ็บปวดรวดร้าว เมื่อรู้ว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาฉุดพรากลูกออกจากอ้อมอกแม่
วิญญาณพ่อข้า,จงรับรู้… เถิด,พี่น้องของข้าจงยืนหยัด จงจับมือกันให้มั่น อย่าหวาดหวั่นครั่นคร้าม แม้ในห้วงยามนี้ ดวงตะวันยังส่องแสงมาไม่ถึง.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์สะพานรุ้ง สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับที่ 9 ปีที่49 2-9 ส.ค.2545
|
ผมค้นบทกวีเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้เมื่อครั้งทำงานอยู่ร่วมกับพี่น้องชนเผ่าบนดอยสูงออกมาอ่านอีกครั้ง หลังจากอ่านบทความและความคิดเห็นของนักวิชาการ ของ ดร.ท่านหนึ่ง แล้วรู้สึกผะอืดผะอมเหมือนกับถูกบังคับให้กินของหวานตามด้วยของขม
บางความเห็นของ ดร.ท่านนั้นได้เอ่ยออกมาชัดเจนว่า- -ชาวเขาสมควรออกจากป่า!
“...ชาวเขา เอาเขาทั้งเขานับหมื่น ๆไร่ไปบำรุงบำเรอความสุขส่วนตัวของตนเอง 30 หลังคาเรือน แล้วมาอ้างว่าเป็นความมั่นคงทางอาหาร แย่จริง ๆ นี่คือการปล้นและปิดโอกาสให้คนอื่นได้ใช้ผืนป่ามากกว่า...” ดร.ท่านนั้นแสดงความเห็นเช่นนั้น
ทำให้ผมนึกไปถึงชุมชนปกากะญอแห่งหนึ่ง ที่อาศัยอยู่มานานหลายชั่วอายุคนขึ้นมาทันใด ชุมชนที่ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวมาหลายรางวัล เป็นชุมชนที่หลายคนไปเยือนต่างกลับออกมาบอกให้สังคมและโลกรับรู้ว่า- -พวกเขา 30 หลังคาเรือน แต่สามารถดูแลป่าได้เป็นหมื่นๆไร่
แต่ ดร.ท่านนั้น กลับมองกลับข้าง เหมือนจะบอกว่า ทำไมคนแค่ 30 หลังคาเรือน ถึงครอบครองป่า เอาไปบำเรอสุขกันได้ตั้งหมื่นไร่
จนใครคนหนึ่งบอกกับ ดร.เหมือนอยากจะประชด ว่า “ดี งั้นก็อพยพพวกชาวเขาออกมาจากป่า ให้หมดเลย คงไม่ต่ำกว่าล้านคนแหล่ะ ให้ไปอยู่ที่ไหนดีล่ะ สร้างเกาะให้อยู่ใหม่ดี...หรือว่าสร้างคอนโดให้อยู่ในกรุงเทพดี จะได้มีงานทำ มีข้าวกิน...”
ดร.ท่านนั้น ตอบกลับทันใด…
“ถ้าคิดว่าชาวเขาอยู่ลำบาก ก็มาอยู่ในเมือง รับจ้างซีครับ หรือไม่ก็ให้รัฐเลี้ยงให้อยู่เฉย ๆ อย่าไปเที่ยวทำลายป่า จับจองที่ดินของคนทั้งชาตินะครับ...” โห...ดร.คิดได้ไงนี่
แต่ผมรู้สึกชื่นชมกับผู้ที่บอกว่าเป็น ‘ศิษย์คนหนึ่ง’ ของ ดร.ท่านนั้น ที่ศิษย์กล้าวิพากษ์อาจารย์ตรงๆ
“ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ถ้าชาวเขามีอำนาจ เขาจะออกโฉนดพื้นที่ป่าเขาทั้งหมด เป็นทรัพย์สินของพวกเขา เป็นของบรรพชนของพวกเขา เป็นของพวกเขามีอยู่แต่เดิม...รัฐไทยต่างหากที่ไปรุกรานพวกเขา ยึดครองภูเขาของเขา(ที่บรรพบุรุษเขาเคยอยู่เคยใช้เป็นที่ทำกินมาตลอดประวัติศาสตร์ของชาวเขา)นายทุนไทยบุกรุกที่ดินในป่าเขาเพื่อสร้างรีสอร์ท บุกรุกป่าเขาเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศ(ทั้งนายทุน นักการเมือง ทหาร/หรือไม่ก็ทั้งสามอาชีพนี้คือคนๆเดียวกันกลุ่มเดียวกัน)...”
‘ศิษย์คนหนึ่ง’ ยังบอกตรงๆ อีกว่า “...เหตุผลของอาจารย์ บางครั้งก็เป็นเหตุผลของนักประเมินมูลค่าทรัพย์สิน อาจารย์ไม่เข้าใจความมั่นคงของชีวิตของชาวชนบท ที่เป็นคนชายขอบ เรื่องนี้มันเป็นมุมมองที่ต่างกัน ระหว่างชนชั้นนายทุน ชนชั้นผู้รับใช้นายทุน กับเจ้าของทรัพยากร เราเป็นผู้รุกราน ชาวปกากะญอ รุกรานผีตองเหลือง รุกรานชาวซาไก ซามัง กล่าวร้ายต่อพวกเขา ทั้งที่สิ่งที่พวกเขาทำ เป็นวิถีชีวิต วนเวียนทำไร่ แต่เรากลับไปสร้างสนามกอล์ฟ เพียงเพื่อคนกลุ่มหนึ่ง สร้างรีสอร์ทเพียงเพื่อคนกลุ่มหนึ่ง ที่เปลี่ยนทรัพยากรของคนท้องถิ่น มาเป็นของคนกลุ่มหนึ่ง แล้วใช้กฎหมาย พ.ร.บ.- พ.ร.ก.มาบังคับใช้อ้างกฎหมาย อ้างรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ...”
ยัง...ยังไม่พอ ‘ศิษย์คนหนึ่ง’ ยังวิพากษ์อาจารย์ ดร.ท่านนั้นทิ้งท้ายอีกว่า...“ตอนแรกผมเชื่อว่าอาจารย์จะทรยศต่อชนชั้นของตัวเอง เพื่อประชาชนผู้ยากไร้ แต่แล้วอ่านไปนานๆ พบว่า...อาจารย์ก็มีจิตวิญญาณของผู้เป็นชนชั้นนายทุน มองการลงทุนคือกำไร มองกำไร...เป็นแค่เพียงตัวเงิน...”
ผมอ่านความคิดเห็นทั้งหมดในท้ายบทความชิ้นนี้ ซึ่งยังโต้เถียงกันไม่รู้จบ แล้วรู้สึกทอดถอนใจ...
เพื่อกันลืม- - ดร.ท่านนั้น คือ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย กับบทความที่ชื่อ ‘โฉนดชุมชน เรื่องวิบัติที่ต้องคัดค้านอย่างถึงที่สุด’ เชิญชวนไปอ่านกันได้ที่...http://www.prachatai.com/journal/2009/09/25985 |