Skip to main content



เกือบค่อนปีที่ข้าตัดสินใจหันหลังให้กับใบหน้าของเมืองใหญ่
มุดออกมาจากกล่องของความหยาบ แออัดและหมักหมม
ถอยห่างออกมาจากความแปลก แยกออกมาจากความเปลี่ยน
สลัดคราบมนุษย์เงินเดือน สลัดความเครียดที่สะสม
สลัดทิ้งซึ่งพันธนาการ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน และความโลภ
ที่นับวันยิ่งพอกพูนสุมหัวใจข้า - - กระชาก ขว้างทิ้งมันไว้ตรงนั้น
อา,ทุกอย่างช่างหน่วงหนักและเหน็ดหน่าย - -ย้อนถามตัวตน
ข้าระเหระหนเดินทางมาไกลและแบกรับสัมภาระมากเกินไปแล้ว !

หวนคืนกลับไปเดินบนถนนที่ข้าคุ้นเคย
กลับไปยังหุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์ กลับไปยังชุมชนบ้านเกิด
ไปยังที่สายรกของความผูกพันฝังไว้ใต้ผืนดินผืนนั้น
ใช่, ข้ารู้ ข้ามองเห็นแล้ว...
ต้นทางและปลายทางคือจุดหมายเดียวกัน
ต้นทางที่ข้าก่อเกิด ปลายทางที่ข้าคืนกลับ
นั้นเฝ้ารอ อุ้มชู โอบกอดจิตวิญญาณข้า
ให้เรียนรู้อยู่กับวิถีเรียบง่าย ธรรมดา, ชีวิต
อยู่กับความจริง ความหวัง ความฝัน อิสระและเสรี
อยู่ในสถานที่ปลอดภัย สงบเงียบ สะอาด
อยู่ในเขตปลอดสารพิษในหัวใจ

ในหุบเขายามนี้ มีทุ่งไร่ ไม้ผล ผักไม้ไซร้เครือ สัตว์เลี้ยงและมวลดอกไม้ ฯลฯ
กาลเวลา ฤดูกาล คอยเตือนข้าให้เรียนรู้และเฝ้าดู
กอบเก็บ เสาะหา เมล็ดพันธุ์ เตรียมไว้หว่านหวัง
บ่มเพาะ ต้นกล้าที่ปลูก หมั่นใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน
แล้วเกี่ยวเก็บดอกผลอยู่ทุกค่ำเช้า...

ทุกวัน ทุกวัน ข้าลงมือทำและเฝ้าบอกกับตัวเอง
‘ทำสวนชีวิต หล่อเลี้ยงชีวิต

ทำสวนหนังสือ หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ'

เพียงเท่านี้วิถีข้า ข้ารู้ ข้ามองเห็นแล้ว...
ต้นทางที่ข้าก่อเกิด ปลายทางที่ข้าคืนกลับ
ปลายทางเส้นนี้มีหมู่บ้าน ปลายทางเส้นนี้มีความหวัง
ปลายทางเส้นนี้มีสวนแห่งชีวิต
ปลายทางเส้นนี้มีดอกไม้.



หมายเหตุ : บทกวีชิ้นนี้ผมเขียนและอ่านในงาน ‘บทกวี:จากโลกส่วนตัวสู่โลกสาธารณะ' ของชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ณ ร้านหนังสือสามัญชน สาขาคาร์ฟูร์หางดง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2552

 

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...